ชีวิตคืออายุ มีประมาณน้อย [อุปเนยยสูตร]
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้าที่ 44 - 48
อุปเนยยสูตร
[๗] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ชีวิต คือ อายุ มีประมาณน้อย ถูกต้อนเข้าไปเรื่อยเมื่อบุคคล ถูกชราต้อนเข้าไปแล้ว ย่อมไม่มีผู้ป้องกัน บุคคล เมื่อเห็นภัยนี้ ในมรณะพึงทำบุญทั้งหลายที่นำความสุขมาให้
[๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ชีวิต คือ อายุ มีประมาณน้อย ถูกต้อนเข้าไปเรื่อย เมื่อบุคคล ถูกชราต้อนเข้าไปแล้ว ย่อมไม่มีผู้ป้องกัน บุคคล เมื่อเห็นภัยนี้ ในมรณะพึงละอามิสในโลกเสีย มุ่ง "สันติ" เถิด
อรรถกถาอุปเนยยสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในอุปเนยยสูตรที่ ๓ ต่อไป :-
บทว่า อุปนียติ ได้แก่ ย่อมสิ้นไปโดยรอบ ย่อมดับ หรือว่า ย่อมมาถึง คือ ย่อมเข้าถึงมรณะโดยลำดับ. อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า ฝูงโค อันนายโคบาลย่อมต้อนไป ฉันใดชีวิตนี้ ก็ฉันนั้นอันชรา ย่อมต้อนไปสู่สำนักแห่งความตาย.
บทว่า ชีวิตํ ได้แก่ ชีวิตินทรีย์.
บทว่า อปฺปํ แปลว่า เล็กน้อย คือ นิดหน่อย. บัณฑิต พึงทราบความที่ ชีวิต คือ อายุนั้น เป็นของน้อย โดยอาการ ๒ อย่าง คือ ชื่อว่าน้อย เพราะความที่ชีวิตนั้นเป็นไปกับด้วยรส คือ ความเสื่อมสิ้นไปและเพราะความที่ชีวิตนั้น ประกอบด้วยขณะ คือ ครู่เดียว จริงอยู่ เพราะพระบาลีว่า โย ภิกฺขเว จิรํ ชีวติ โส วสฺสสตํ อปฺปํ วา ภิยฺโย แปลว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลใด เป็นอยู่นาน บุคคลนั้น ก็พึงเป็นอยู่ร้อยปี ต่ำกว่าบ้าง เกินกว่าบ้าง ดังนี้ จึงชื่อว่า น้อย เพราะความที่ชีวิตนั้น เป็นไปกับด้วยรส คือความเสื่อมสิ้นไป.
ก็เมื่อว่าโดย "ปรมัตถ์" ขณะแห่งชีวิต ของสัตว์ทั้งหลาย น้อยมาก (เกินเปรียบ) คือสักว่า เป็นไปเพียงจิตดวงเดียวเท่านั้น (ว่าโดยปรมัตถ์ ขณะมี ๓ คือ อุปาทขณะ ฐีติขณะ ภังคขณะ) จึงชื่อว่า น้อย เพราะความที่ "ชีวิตนาม" นั้นเป็นของเป็นไปกับด้วยขณะ.
อุปมาด้วยล้อแห่งรถแม้เมื่อหมุนไป ย่อมหมุนไปโดยส่วนแห่งกงรถหนึ่งเท่านั้นแม้เมื่อหยุดอยู่ ก็ย่อมหยุดโดยส่วนแห่งกงรถหนึ่งนั่นแหละ ฉันใดชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมเป็นไปในขณะแห่งจิตดวงหนึ่ง ก็ฉันนั้นเหมือนกันครั้นเมื่อจิตดวงนั้น สักว่าแตกดับแล้วท่านก็เรียกว่า สัตว์ตายแล้ว.
เหมือนคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า อตีเต จิตฺตกฺขเณ ชีวิตฺถ น ชีวติ น ชีวิสฺสติ อนาคเต จิตฺตกฺขเณ น ชีวิตฺถ น ชีวติ ชีวิสฺสติ. ปจฺจุปฺปนฺเน จิตฺตกฺขเณ น ชีวิตฺถ ชีวติ น ชีวิสฺสติ.
ในขณะแห่งจิต อันเป็นอดีต บุคคล ชื่อว่า เป็นอยู่แล้ว มิใช่กำลังเป็นอยู่ มิใช่จักเป็นอยู่
ในขณะแห่งจิต อันเป็นอนาคต บุคคล ชื่อว่า จักเป็นอยู่ มิใช่เป็นอยู่แล้ว มิใช่กำลังเป็นอยู่.
ในขณะแห่งจิต อันเป็นปัจจุบัน บุคคล ชื่อว่า กำลังเป็นอยู่ มิใช่เป็นอยู่แล้ว ไม่ใช่จักเป็นอยู่.
ชีวิตํ อตฺตภาโว จ สุขทุกฺขา จ เกวลาเอกจิตฺตสมายุตฺตา ลหุโส วตฺตเต ขโณ. ชีวิต อัตตภาพ สุขและทุกข์ทั้งหมด ประกอบด้วยจิตดวงเดียว ขณะของจิตนั้น ย่อมเป็นไปเร็วพลัน.
เย นิรุทฺธา มรนฺตสฺส ติฏฺฐมานสฺส วา อิธสพฺเพปิ สทิสา ขนฺธา คตา อปฺปฏิสนฺธิยา.
จิตเหล่าใด ของสัตว์ที่กำลังดำรงอยู่ หรือ กำลังตายแตกดับไปแล้ว ในปวัตติกาลนี้ จิตเหล่านั้นทั้งหมด หาได้กลับมาเกิดอีกไม่แม้ขันธ์ทั้งหลาย ก็เช่นเดียวกัน.
อนิพฺพตฺเตน น ชาโต ปจฺจุปฺปนฺเนน ชีวติจิตฺตภงฺคมโต โลโก ปญฺญตฺติ ปรมตฺถิยา เพราะ "จิตไม่เกิด" สัตว์โลก ก็ชื่อว่า ไม่เกิด เพราะ "จิตเกิดขึ้นเฉพาะหน้า" สัตว์โลก ก็ชื่อว่า เป็นอยู่ เพราะ "ความแตกดับแห่งจิต" สัตว์โลก จึงชื่อว่า ตายแล้ว นี้ เป็น "บัญญัติ" เนื่องด้วย "ปรมัตถ์"
บทว่า ชรูปนตสฺส อธิบายว่า เมื่อบุคคลเข้าถึงชราแล้ว หรือว่า เมื่อบุคคล ถูกชราต้อนเข้าไปสู่สำนักแห่งความตาย.
บทว่า น สนฺติ ตาณา อธิบายว่า ใครๆ ชื่อว่าสามารถเพื่อจะให้ความป้องกันคือ ให้ความปลอดภัย ให้เป็นที่พึ่งอาศัยได้ ย่อมไม่มี.
บทว่า เอตํ ภยํ ความว่า ภัยนี้มี ๓ อย่าง คือ การเข้าถึงความตายแห่งชีวิตินทรีย์ความที่ชีวิตินทรีย์ มีอายุเล็กน้อย และ ความที่ไม่มีเครื่องต้านทาน ของบุคคล ผู้อันชราต้อนไปแล้ว.
อธิบายว่า เป็นที่ตั้งแห่งภัย (ภยวตฺถุ) คือ เป็นเหตุแห่งภัย (ภยการณํ)
บทว่า ปุญฺญานิ กยิราถ สุขาวหานิ ได้แก่ วิญญชน พึงทำบุญทั้งหลายอัน นำความสุขมาให้คืออันให้ซึ่งความสุข.
ด้วยเหตุนี้นั้น เทวดาหมายเอา รูปาวจรฌาน จึงถือเอาบุพเจตนา มุญจนเจตนา และอปรเจตนาแล้วกล่าวถึง "บุญทั้งหลาย" ด้วยสามารถแห่งคำพหูพจน์. และถือเอาความชอบใจในฌาน ความใคร่ในฌาน และความสุขในฌานแล้วจึงกล่าวว่า "บุญทั้งหลายนำความสุขมาให้" ดังนี้.
ได้ยินว่า เทวดานั้น ได้มีความคิดว่า โอหนอ สัตว์ทั้งหลายเจริญฌานแล้ว มีฌานยังไม่เสื่อม กระทำกาละแล้ว พึงดำรงอยู่ในพรหมโลกตลอดเวลาอันยาวนาน คือประมาณ ๑ กัปบ้าง ๔ กัป บ้าง ๘ กัป บ้าง ๑๖ กัป บ้าง ๓๒ กัป บ้าง ๖๔ กัป บ้าง ดังนี้ เพราะตนเองเกิดในพรหมโลกที่มีอายุยาวนานจึงเห็นสัตว์ทั้งหลายผู้กำลังตาย กำลังเกิด ที่มีอายุน้อย ในเทวดาชั้นกามาวจรเบื้องต่ำ เช่นกับการตกลงแห่งเม็ดฝนพอถูกกระทบก็แตกไป เพราะฉะนั้น จึงกล่าวแล้วอย่างนี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงดำริว่า ก็เทวดานี้ ย่อมกล่าว "วัฎฏกถา" (ถ้อยคำอันเป็นไปในวัฏฏะ) อันไม่เหมาะสม เมื่อจะทรงแสดง "วิวัฏฏกถา" แก่เทวดานั้น จึงตรัสพระคาถาที่ ๒.
บรรดาบทแห่งคาถาที่ ๒ เหล่านั้น บทว่า โลกามิสํ ได้แก่โลกามิส ๒ อย่าง คือ ปริยายโลกามิส (โลกามิสที่เป็นเหตุ) นิปปริยายโลกามิส (โลกามิสที่ไม่เป็นเหตุ) วัฏฏะ อันเป็นไปในภูมิ ๓ เรียกว่า ปริยายโลกามิส.
ปัจจัย คือ เครื่องอาศัย ๔ อย่างเรียกว่า นิปปริยายโลกามิส. ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาปริยายโลกามิส อันที่แท้ แม้นิปปริยายโลกามิส ก็ควรในที่นี้เหมือนกัน.
บทว่า สนฺติเปกฺโข อธิบายว่า มุ่งอยู่ ต้องการอยู่ ปรารถนาอยู่ซึ่ง "สันติ" อันยั่งยืนกล่าวคือ "พระนิพพาน"
จบ อรรถกถาอุปเนยยสูตรที่ ๓
ขออนุโมทนา
ขออุทิกุศลแด่คุณพ่อ คุณแม่และ สรรพสัตว์