ผู้ข้ามโอฆะแล้ว [กติฉินทิสูตร]
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้าที่ 52-54
กติฉินทิสูตร
[๑๑] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยคาถานี้ว่า บุคคลควรตัดเท่าไร ควรละเท่าไร ควรบำเพ็ญคุณอันยิ่งเท่าไร ภิกษุล่วงธรรมเครื่องข้องเท่าไร พระองค์จึงตรัสว่า เป็นผู้ข้ามโอฆะแล้ว
[๑๒] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า บุคคลควรตัดสังโยชน์ เป็นส่วนเบื้องต่ำ ๕ อย่าง ควรละสังโยชน์ เป็นส่วนเบื้องบน ๕ อย่างควรบำเพ็ญอินทรีย์อันยิ่ง ๕ อย่างภิกษุ ล่วงธรรมเป็นเครื่องข้อง ๕ อย่าง เรากล่าวว่า เป็นผู้ข้ามโอฆะแล้ว
อรรถกถา กติฉินทิสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ ๕ ต่อไป :-
บทว่า กติ ฉินฺเท ได้แก่ บุคคลเมื่อตัดควรตัดเท่าไร แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้
ก็ในบทว่า ฉินฺเท ชเห นี้ว่าโดยอรรถเป็นอย่างเดียวกัน เทวดานี้เมื่อเว้นถ้อยคำที่ซ้ำๆ ก็เพื่อเป็นประโยชน์แก่การประพันธ์คาถาจึงได้กล่าวแล้วอย่างนี้
บทว่า กติ สงฺคาติโต แปลว่า ภิกษุก้าวล่วงธรรมอันเป็นเครื่องข้องเท่าไร. พระบาลีว่า สงฺคาติโต บ้าง มีเนื้อความอย่างนี้เหมือนกัน
บทว่า ปญฺจ ฉินฺเท ได้แก่ เมื่อตัดควรตัดโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ อย่าง
บทว่า ปญฺจ ชเห ได้แก่เมื่อละ ควรละ อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ อย่าง การตัด และการละแม้ในที่นี้ เมื่อว่าโดยอรรถ ก็เป็นอย่างเดียวกันแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ก็เพราะให้เหมาะสมกับถ้อยคำอันเทวดาอ้างมา
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมตรัสว่าโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เป็นเครื่องฉุดคร่า ให้ตกไปในเบื้องต่ำเหมือนกับก้อนหินที่เขาผูกเท้าไว้จะพึงตัดสังโยชน์นั้นได้ ด้วยพระอนาคามิมรรค ดังนี้ และตรัสว่า อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ซึ่งฉุดคร่าไว้เบื้องบนเหมือนกับกิ่งไม้ ที่บุคคลใช้มือจับไว้จะพึงละสังโยชน์นั้นได้ด้วยพระอรหัตตมรรค ดังนี้
บทว่า ปญฺจ จุตฺตริภาวเย ความว่า เมื่อเจริญคุณวิเศษให้ยิ่ง คือให้มากกว่าเพื่อต้องการตัด และเพื่อต้องการละสังโยชน์เหล่านั้นควรเจริญอินทรีย์ทั้งหลาย มีศรัทธาเป็นที่ ๕
บทว่า ปญฺจสงฺคาติโต ความว่า ก้าวล่วงแล้ว ซึ่งธรรมเป็นเครื่องข้อง ๕ เหล่านี้ คือ เครื่องข้อง คือราคะ เครื่องข้อง คือโทสะ เครื่องข้อง คือโมหะเครื่องข้อง คือมานะ เครื่องข้อง คือทิฏฐิ.
บทว่า โอฆติณฺโณติ วุจฺจติ เขากล่าวว่า ข้ามโอฆะทั้ง ๕ ได้แล้วแต่ในพระคาถานี้ กล่าวถึง อินทรีย์ ๕ ซึ่งเป็นทั้ง โลกิยะ และ โลกุตตระ ดังนี้แล
จบ อรรถกถากติฉินทิสูตร ที่ ๕
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลแด่คุณพ่อ คุณแม่และ สรรพสัตว์
ขอความกรุณาอธิบายข้อความต่อไปนี้ด้วยค่ะ
๑. โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ อย่าง
๒. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ อย่าง
๓. ควรเจริญอินทรีย์ทั้งหลาย มีศรัทธาเป็นที่ ๕
๔. แต่ในพระคาถานี้ กล่าวถึง อินทรีย์ ๕ ซึ่งเป็นทั้ง โลกิยะ และ โลกุตตระ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
เรื่องสังโยชน์ขอเชิญคลิกที่
สังโยชน์ ๑๐ ประการ [สังโยชนสูตร]
เรื่องอินทรีย์ขอเชิญคลิกที่
อินทรีย์ ๕ ที่เกิดร่วมกับโลกียจิต เป็นโลกิยะ
อินทรีย์ ๕ ที่เกิดร่วมกับโลกุตตรจิต เป็นโลกุตตระ