เข็มแหลมๆ จำนวน 1000 แทงเข้าพร้อมกันที่ร่างกาย
โดยปริยัติ ที่ผมเข้าใจในการเกิดขึ้นของจิตที่เกิดขึ้นที่ปสาทรูป ยกตัวอย่าง ถ้ามี
เข็มแหลมๆ จำนวน 1000 แทงเข้าพร้อมกันที่ร่างกายตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ตาม
ความจริงของปริยัตคือ การเกิดของจิตที่เกิดขึ้นรับรู้ ณ.ตำแหน่งที่เข็มแต่ละเล่มแทงอยู่
จะสลับกันเกิดดับทั้ง 1000 โดยเกิดไม่พร้อมกัน แต่เกิดขณะละ 1 ตำแหน่ง ซึ่งเกิดรับรู้
และหายไปอย่างรวดเร็ว วิ่งไปทั้ง 1000 เสมือนเกิดพร้อมกัน ดังตัวอย่างที่ยกมานี้ ไม่
ทราบว่าถูกต้องไหมครับ แต่โดยปริยัติ ผมก็ยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้น
รับรู้ ณ.เข็มเล่มใดเล่มหนึ่ง ณ.ขณะใดขณะหนึ่ง ทั้งๆ ที่แทงพร้อมกันครับ
ในชีวิตปกติ อารมณ์จะกระทบทุกปสาทพร้อมกันทั้ง 6 ตลอดเวลา เช่นนั่งกินข้าวในโรงอาหาร ตาก็เห็น หูก็ได้ยินเสียงอื้ออึงตลอด จมูกก็ได้กลิ่นอาหาร ลิ้นก็รับรสอาหารที่กำลังเคี้ยว กายก้นก็สัมผัสเก้าอี้ มือจับช้อน เท้าสัมผัสพื้น ร่างกายก็สัมผัสเสื้อผ้า ส่วนใจก็นึกคิด ในขณะนั้นระลึกทีไรก็เหมือนมีอารมณ์ทั้ง 6 พร้อมกัน และมีตัวเราอยู่เต็มบั๊กแต่ทางปริยัติก็บอกว่าเกิดทีละทวารไม่ปะปนกัน สุดท้ายนี้ผมก็ไม่รู้จะถามอย่างไรดี เอาเป็นว่าช่วยตอบปัญหาให้ผมตามที่พี่ๆ เข้าใจและช่วยแนะนำด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
ขออนุญาตสนทนาด้วยนะครับ พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติพระปริยัติตามสิ่งที่
เป็นจริง อย่างนั้น อย่างนั้น แต่การที่เราจะรู้ตามได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับความรู้ที่
ได้สะสมไว้มีเพียงพอแล้วหรือยัง ที่จะเป็นเหตุให้ระลึกรู้สภาพธรรมทีละอย่าง ทีละทาง
ไม่ปะปนกัน ซึ่งการศึกษาพระธรรม ต้องเป็นผู้ละเอียด และอดทนเป็นอย่างยิ่งครับ
ในความคิดเห็นที่ ๓ นั้น รูปกระทบกับปสาท ๕ พร้อมๆ กันได้ครับ ซึ่งรูปที่จิตรู้
เท่านั้นที่เป็นอารมณ์ (ทางปัญจทวารและทางมโนทวาร) ดังนั้นในแต่ละขณะ มีจิต
เพียงหนึ่งดวงและรู้อารมณ์เพียงอารมณ์เดียวเท่านั้น ส่วนรูปที่ไม่มีจิตรู้ ก็เกิดแล้วก็ดับ
ไป ไม่ควร (และไม่สามารถ) ใส่ใจพิจารณาครับ ส่วนการรู้อารมณ์นั้น ไม่ใช่ปสาทที่รู้
(ไม่ใช่ตาที่เห็น ไม่ใช่หูที่ได้ยิน ฯลฯ) เพราะปัญจปสาทเป็นรูปที่เพียงทำกิจกระทบ
รูป (ทั้งที่เป็นอารมณ์ และไม่เป็นอารมณ์) เท่านั้น แต่การเห็น การได้ยิน ฯลฯ เป็นกิจ
ของจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ อันเกิดขึ้นทำกิจรู้อารมณ์ทางทวารต่างๆ ครับ
โดยสรุปแล้ว การที่จะรู้ตามพระปริยัติได้ จะต้องมีความรู้ที่เพียงพอ ซึ่งความ
รู้นี้ย่อมเกิดได้จากการศึกษาพระธรรมอย่างละเอียด และอดทนครับ เพราะผลที่ยาก
จะเกิดจากเหตุที่ง่ายๆ ไม่ได้เลยครับ
จาก คุณbom8813 ความคิดเห็นที่3
การที่คุณระลึกเหมือนมีอารมณ์ ทั้ง 6 เกิดพร้อมๆ กัน นั้น...นี่เป็นเรื่องปกติ ธรรมดาๆ จริงๆ ...สำหรับ ปุถุชน คนทั่วไป.....เป็นธรรมดา ของ ผู้ที่ไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน
ขออนุญาติ แนะนำ ให้ คุณ ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมให้มาก ให้เข้าใจให้มากๆ ต่อไป ...เป็นการสะสมปัญญาในขั้น ของ การฟัง ซึ่งจะเป็น สังขารขันธ์ ปรุงแต่งให้ สติ เกิด ...เมื่อ สติ เกิดระลึกรู้ ใน ปัจจุบันอารมณ์ มากเข้า มากเข้า (ขณะนี้เรียกว่า เจริญสติปัฏฐาน) สติซิ่ง เป็น โสภณธรรม จะชักนำ ให้ ขณิก สัมมา สมาธิเกิด...ความรู้แจ้ง ในสภาว ธรรมที่ปรากฏ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ คือ ปัญญาโดยมี ขณิกสัมมาสมาธิ (ซึ่งไม่ใช่ สมาธิ แบบ ดิ่ง นิ่ง เงียบ ไม่รู้อะไรเลยนะ) นั้น เป็นเหตุใกล้ ให้เกิด ปัญญา....
เมื่อ ปัญญา เกิด มากเข้า ด้วย เหตุและปัจจัย ที่พร้อม บริบูรณ์ ก็จะ ประจักษ์รู้แจ้งแทงตลอด สภาวธรรมนั้นๆ .........
หากมี ปัญญา ระดับนี้ ขึนไป....เมื่อนั้น คุณ จะรู้ถ๊ง อารมณ์ ซึ่งดูเสมือน กระทบทั้ง 6 ทวารพร้อมๆ กันนั้น...แท้จริง ไม่ได้ กระทบ ทีเดียวพร้อมกัน แต่เป็นทีละขณะจิตทีละทวารซึ่ง เกิด-ดับ รวดเร็ว มากๆ (คงจะประมาณ 1/1000000 วินาที ในชั่ว หนึ่งขณะจิต กระมัง..นี่เป็นเพียง การคาดเดา ให้ เห็นว่า จิต เกิด-ดับ เร็วมาก หาก ปัญญาไม่ถึงระดับขั้น...ก็ยากที่จะรู้ได้)
ข้อสังเกต: มักมีผู้กล่าวว่า "ทำสมาธิไปเถิด...แล้วปัญญาก็จะเกิดตามมาเอง"นั้น ควรทำความเข้าใจ ให้ถูกต้องด้วยว่า...
ปัญญาจะเกิดได้...ต้องมี สติ ระลึกรู้ก่อน..เป็นปัจจัยให้เกิด ขณิกสมาธิ ซึ่งต้องเป็น สัมมาสมาธิ เท่านั้น ...เหตุใกล้ให้ เกิด ปัญญาได้ ในที่สุด.....
ธรรมะกำลังเกิดดับอย่างรวดเร็วสุดประมาณ เปรียบเหมือนการเล่นกลของนักเล่นกลที่ชำนาญ ผู้ไม่รู้ย่อมถูกหลอกได้โดยง่าย พระธรรม เหมือนการเฉลย หรือการอธิบาย ขั้นตอนการเล่นกลของนักเล่นกลที่ชำนาญเมื่อเข้าใจพระธรรม ก็เหมือน การรู้ขั้นตอนการเล่นกลขณะนี้เหมือนมีนักเล่นกลที่ชำนาญมาก กำลังเล่นกล ลวงและหลอกเรา ให้เห็นไม่ตรงตามความเป็นจริง เป็นกลที่สลับซับซ้อนจริงๆ ต้องอาศัยเวลาที่จะค่อยๆ สังเกตุ ค่อยๆ จับผิดเมื่อรู้ก็ไม่ถูกหลอก เมื่อรู้ก็ไม่ถูกลวงแต่ตอนนี้ไม่รู้ ก็ต้องทั้งถูกลวงทั้งถูกหลอกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้จริงๆ