กุมารลิจฉวีสูตร - ธรรมที่ให้ความเจริญ - ๒๔ มิ.ย. ๒๕๔๙
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
••• ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย •••
พระสูตร ที่นำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ
วันเสาร์ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๙
เวลา ๐๙:๐๐ - ๑๒:๐๐ น.
กุมารลิจฉวีสูตร
ว่าด้วยธรรมที่ให้ความเจริญอย่างเดียว
จาก พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ 145
นำการสนทนาโดย
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากร
ขอเชิญท่านอ่านพระสูตรนี้ได้ในกรอบต่อไปนะครับ...
[เล่มที่ 36] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ 145
กุมารลิจฉวีสูตร
ว่าด้วยธรรมที่ให้ความเจริญอย่างเดียว
[๕๘] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้เมืองเวสาลี ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปสู่เมืองเวสาลี เพื่อบิณฑบาต ครั้นเสด็จ กลับจากบิณฑบาตแล้ว เวลาปัจฉาภัต เสด็จเข้าไปยังป่ามหาวัน ประทับนั่ง พักผ่อนกลางวันที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง
ก็สมัยนั้น เจ้าลิจฉวีกุมารหลายคนถือธนู ที่ขึ้นสาย มีฝูงสุนัขแวดล้อม เดินเที่ยวไปในป่ามหาวัน ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง แล้วจึงวางธนูที่ขึ้นสาย ปล่อยฝูงสุนัขไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ ประทับ ถวายบังคมแล้ว ต่างนั่งนิ่ง ประนมอัญชลีอยู่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็สมัยนั้น เจ้าลิจฉวีนามว่ามหานามะ เดินพักผ่อนอยู่ในป่ามหาวัน ได้เห็น เจ้าลิจฉวีกุมารเหล่านั้นผู้ต่างนั่งนิ่งประนมอัญชลีอยู่ ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้เปล่งอุทานว่า เจ้าวัชชีจักเจริญๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนมหานามะ ก็เพราะเหตุไร ท่านจึงกล่าวอย่างนี้ว่า เจ้าวัชชีจักเจริญๆ
ม. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เจ้าลิจฉวีกุมารเหล่านี้ เป็นผู้ดุร้าย หยาบคาย กระด้าง ของขวัญต่างๆ ที่ส่งไปในตระกูลทั้งหลาย คือ อ้อย พุทรา ขนม ขนมต้ม หรือขนมแดกงา เจ้าลิจฉวีกุมารเหล่านี้ ย่อมแย่งชิงกิน ย่อมเตะหลังหญิงแห่งตระกูลบ้าง เตะหลังกุมารีแห่งตระกูลบ้าง แต่บัดนี้ เจ้าลิจฉวีกุมารเหล่านี้ต่างนั่งนิ่งประนมอัญชลีอยู่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า
พ. ดูก่อนมหานามะ ธรรม ๕ ประการ มีอยู่แก่กุลบุตรคนใดคนหนึ่ง เป็นขัตติยราช ได้รับมูรธาภิเษกแล้วก็ตาม ผู้ปกครองรัฐ ซึ่งรับมรดกจาก บิดาก็ตาม เป็นอัครเสนาบดีก็ตาม เป็นผู้ปกครองหมู่บ้านก็ตาม หัวหน้าพวก ก็ตาม ผู้เป็นใหญ่เฉพาะตระกูล ก็ตาม กุลบุตรนั้นพึงหวังได้รับความเจริญ ส่วนเดียว ไม่มีเสื่อม
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน
ดูก่อนมหานามะ กุลบุตรในโลกนี้ ย่อมสักการะ เคารพ นับถือ บูชามารดาบิดา ด้วยโภคทรัพย์ที่ได้มาด้วยความหมั่น ความขยัน สะสมขึ้น ด้วยกำลังแขนของตน ได้มาโดยอาบเหงื่อต่างน้ำ ชอบธรรม ได้มาโดยธรรม มารดาบิดาผู้ได้รับการสักการะ เคารพ นับถือ บูชาแล้ว ย่อมอนุเคราะห์ กุลบุตรนั้นด้วยน้ำใจอันงามว่า ขอจงมีชีวิตยืนนาน มีอายุยืนนาน กุลบุตร ผู้อันมารดาบิดาอนุเคราะห์แล้ว พึงหวังได้รับความเจริญส่วนเดียว ไม่มีเสื่อม
อีกประการหนึ่ง กุลบุตรย่อมสักการะ เคารพ นับถือ บูชา เทวดา ผู้รับพลีกรรม ด้วยโภคทรัพย์ที่หามาได้ด้วยความหมั่น ความขยัน สะสมขึ้น ด้วยกำลังแขนของตน ได้มาโดยอาบเหงื่อต่างน้ำ ชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เทวดาผู้รับพลีกรรม ได้รับสักการะ เคารพ นับถือ บูชาแล้ว ย่อมอนุเคราะห์ กุลบุตรนั้น ด้วยน้ำใจอันงามว่า ขอจงมีชีวิตยืนนาน มีอายุยืนนาน กุลบุตร ผู้อันเทวดาอนุเคราะห์แล้ว พึงหวังได้รับความเจริญส่วนเดียว ไม่มีเสื่อม
อีกประการหนึ่ง กุลบุตรย่อมสักการะ เคารพ นับถือ บูชา สมณพราหมณ์ด้วยโภคทรัพย์ที่หาได้ด้วยความหมั่น ความขยัน สะสมขึ้นด้วย กำลังแขนของตน ได้มาโดยอาบเหงื่อต่างน้ำ ชอบธรรม ได้มาโดยธรรม สมณพราหมณ์ผู้ได้รับสักการะ เคารพ นับถือ บูชาแล้ว ย่อมอนุเคราะห์ กุลบุตรนั้นด้วยน้ำใจอันงามว่า ขอจงมีชีวิตยืนนาน มีอายุยืนนาน กุลบุตร อันสมณพราหมณ์อนุเคราะห์แล้ว พึงหวังได้รับความเจริญส่วนเดียว ไม่มี เสื่อม
ดูก่อนมหานามะ ธรรม ๕ ประการ นี้แล ย่อมมีอยู่แก่กุลบุตรคนใด คนหนึ่ง เป็นขัตติยราช ผู้ได้รับมูรธาภิเษกก็ตาม ผู้ปกครองรัฐซึ่งได้รับมรดก จากบิดาก็ตาม เป็นอัครเสนาบดีก็ตาม ผู้ปกครองหมู่บ้านก็ตาม หัวหน้าพวก ก็ตาม ผู้เป็นใหญ่เฉพาะตระกูลก็ตาม พึงหวังได้รับความเจริญส่วนเดียว ไม่มีเสื่อม
กุลบุตรผู้โอบอ้อมอารี มีศีล ย่อม ทำการงานแทนมารดาบิดา บำเพ็ญประโยชน์แก่บุตร ภริยา แก่ชนภายในครอบครัว แก่ผู้อาศัยเลี้ยงชีพ แก่ชนทั้งสองประเภท กุลบุตรผู้เป็นบัณฑิต เมื่ออยู่ครองเรือนโดยธรรม ย่อมยังความยินดี ให้เกิดขึ้นแก่ญาติทั้งที่ล่วงลับไปทั้งที่มีชีวิต อยู่ในปัจจุบันแก่สมณพราหมณ์ เทวดา กุลบุตรนั้นครั้นบำเพ็ญกัลยาณธรรมแล้ว เป็นผู้ควรบูชา ควรสรรเสริญ บัณฑิต ทั้งหลายย่อมสรรเสริญเขาในโลกนี้ เขาละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงใจในสวรรค์
จบ กุมารลิจฉวีสูตรที่ ๘
อรรถกถากุมารลิจฉวีสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในกุมารลิจฉวีสูตรที่ ๘ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สชฺชานิ ธนูนิ ความว่า ถือเอาธนูที่ขึ้นสายแล้ว
บทว่า ภวิสฺสนฺติ วชฺชี ได้แก่ เจ้าวัชชีจักเจริญ
บทว่า อปาฏฺภา ความว่า อาศัยความไม่เจริญ เป็นผู้กระด้างเพราะมานะ
บทว่า ปจฺฉาลิย ขิปนฺติ ความว่า เดินไปข้างหลังแล้วเตะหลัง ในบททั้งหลายมีบทว่า รฏฺิกสฺส เป็นต้น ผู้ชื่อว่า รัฏฐิกะ เพราะกิน [ปกครอง] แว่นแคว้น ผู้ชื่อว่า เปตตนิกะ เพราะกิน [ปกครอง] ทรัพย์มรดกที่บิดาให้ไว้ ผู้ชื่อว่า เสนาบดี เพราะเป็นเจ้าเป็นใหญ่แห่งกองทัพ [นายพล]
บทว่า คามคามิกสฺส คือ ผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านของชาวบ้านทั้งหลาย อธิบายว่า ผู้ปกครองหมู่บ้าน
บทว่า ปูคคามณิกสฺส คือ หัวหน้าหมู่
บทว่า กุเลสุ คือ ในตระกูลนั้นๆ
บทว่า ปจฺเจกาธิปจฺจ กาเรนฺติ คือ ครอบครองอธิปัตย์ความเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว
บทว่า กลฺยาเณน มนสา อนุกมฺปนฺติ คือ อนุเคราะห์ด้วยจิต อันดีงาม
บทว่า เขตฺตกมฺมนฺตสามนฺตสโพฺยหาเร ได้แก่ ชนผู้เป็น เจ้าของที่นาติดกับของตนโดยรอบของชาวนา และพนักงานรังวัดที่ถือเชือก และไม้วัดพื้นที่
บทว่า พลิปฏิคฺคาทิกา เทวตา ได้แก่ อารักขเทวดาที่ เชื่อถือกันมาตามประเพณีของตระกูล
บทว่า ตา สกฺกโรติ ได้แก่ กระทำ สักการะเทวดาเหล่านั้น ด้วยข้าวต้มแสะข้าวสวยอย่างดี
บทว่า กิจฺจกโร คือ เป็นผู้ช่วยกระทำกิจที่เกิดขึ้น
บทว่า เย จสฺส อุปชีวิโน ได้แก่ ชนผู้เข้าไปอาศัยกิจนั้นเลี้ยงชีพ
บทว่า อุภินฺน เยว อตฺถาย ความว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนแม้ทั้งสอง
บทว่า ปุพฺพเปตาน คือ ผู้ไปสู่ปรโสกแล้ว
บทว่า ทิฏธมฺเม จ ชีวต คือ ญาติผู้มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงญาติทั้งหลายใน อดีตและปัจจุบันแม้ด้วยบททั้งสองนี้ ด้วยประการฉะนี้
บทว่า ปีติสญฺชนโน คือ ให้เกิดความยินดี
บทว่า ฆรามาวส แปลว่า อยู่ครองเรือน
บทว่า ปุชฺโช โหติ ปสํสิโย ความว่า ย่อมเป็นผู้อันเขาพึงบูชา และพึงสรรเสริญ.
จบ อรรถกถากุมารลิจฉวีสูตรที่ ๘