การละสังโยชน์ ๓
ผมเคยได้ฟังจากท่านอาจารย์สุจินต์กล่าวไว้ว่า สังโยชน์เบื้องต้น ๓ ประการ นั้น ละได้โดยการประจักษ์สิ่งต่อไปนี้
๑. สักกายทิฏฐิ ละได้ด้วยการเห็นทุกขสัจจะ
๒. วิจิกิจฉา ละได้ด้วยการเห็นสมุทัย
๓. สีลพรตปรามาส ละได้ด้วยการเห็นมรรคและนิพพาน
ยังไม่เข้าใจเท่าใดนัก ขอความกรุณาท่านช่วยขยายความ และตัวอย่างโดยพิสดาร พร้อมทั้งที่มาด้วยได้ไหม ครับ
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ผู้ที่ละสังโยชน์เบื้องต่ำ ๓ ได้แล้วคือพระโสดาบันบุคคล พระโสดาบันท่านรอบรู้ในทุกขสัจจะ ซึ่งสภาพธรรมก็คืออุปาทานขันธ์ห้า เพราะท่านรอบรู้ในสักกายะ (ขันธ์ห้า) จึงละความยึดถือว่าขันธ์เป็นสัตว์บุคคล (สักกายทิฏฐิ) เมื่อท่านรอบรู้ขันธ์ย่อมเห็นเหตุเกิดขึ้นของขันธ์ (สมุทัย) จึงละวิจิกิจฉาได้ เมื่อท่านเจริญมรรคและประจักษ์แจ้งพระนิพพานท่านจึงละข้อปฏิบัติผิด (สีลพรตปรามาส) เสียได้
รายละเอียดขอเชิญคลิกอ่านที่
เพราะเห็นทุกข์จึงละความเห็นผิด
การละความเห็นผิด ละได้ด้วยปัญญา ปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้นจากการฟังพระธรรม การศึกษาพระธรรม พิจารณาไตร่ตรองให้เข้าใจในลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง จนกว่าจะบรรลุเป็นพระโสดาบัน ท่านละความเห็นผิดในลักษณะสภาพธรรมว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นคุคคล หมดความสงสัยในสภาพธรรมที่เคยยึดถือ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขณะที่ฟังพระธรรม พิจารณาไตร่ตรองแล้วเข้าใจ ขณะนั้นไม่มีตัวตนที่เข้าใจอยู่แล้วแต่เป็นปัญญาที่ทำกิจเข้าใจค่ะ สภาพธรรมทำกิจของสภาพธรรมเอง ไม่มีตัวตนที่ไปคิดว่าไม่ยึด ไม่ติด วาง ว่างอยู่เอง นี้เป็นเรื่องคิดทั้งนั้น ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง หนทางที่ถูกต้องมีเพียงหนทางเดียวคือ การอบรมเจริญสติปัฏฐาน ซึ่งก็คืออริยมรรค์มีองค์ ๘ นั่นเองค่ะ เป็นหนทางเดียวที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตร้สรู้ความจริง
ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ สามารถพิสูจน์ความจริงได้ในขณะนี้ เช่น เห็นมีจริงเป็นธรรมะ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์