อินเดีย ... อีกแล้ว 7 มูลนิธิฯ จัดให้
มูลนิธิฯ จัดให้
เพื่อเกื้อกูลคณะสหายธรรมที่จะไปนมัสการสังเวชนียสถาน ณ ประเทศอินเดีย ในวันที่ ๒๗ ต.ค. – ๓ พ.ย. ๕๒ ให้เกิดกุศลจิตมากขึ้น ช่วงการสนทนาพระสูตรในวันเสาร์ที่ ๒๔ ต.ค. ๕๒ ทางมูลนิธิฯ จึงนำอักขณสูตร (อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต) และสังเวชนียสูตร (อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต) มาสนทนา ซึ่งมีข้อความโดยสรุปว่า
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเวลาที่บุคคลทั้งหลายไม่สามารถประพฤติธรรมได้ ๘ ประการ คือ พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก และทรงแสดงพระสัทธรรม (ธรรมที่ทำให้สงบกิเลส) แต่บุคคลนี้เกิดเป็นสัตว์นรก หรือเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือเกิดเป็นเปรต หรือเกิดในหมู่เทพที่มีอายุยืนยาว หรือเป็นผู้โง่เขลา และอยู่เขตในที่อันไม่มีพุทธบริษัท ๔ หรือเกิดในที่มีพุทธบริษัท ๔ แต่มีความเห็นผิด หรือไม่มีปัญญา เป็นคนโง่เขลา หรือเกิดในมัชฌิมชนบท มีปัญญา เป็นคนไม่โง่เขลา แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก และไม่ได้ทรงแสดงพระสัทธรรม แล้วพระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงอักขณสูตร (ว่าด้วยกาลที่ไม่ใช่ขณะจะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์) ว่า
ชนเหล่าใดเกิดในมนุษยโลกแล้ว เมื่อพระตถาคตทรงประกาศพระสัทธรรม ไม่เข้าถึงขณะ ชนเหล่านั้นชื่อว่า ล่วงขณะ
ชนเป็นอันมากกล่าวเวลาที่เสียไปว่า กระทำอันตรายแก่ตน พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลกในกาลบางครั้งบางคราว การที่พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ๑การได้กำเนิดเป็นมนุษย์ ๑ การแสดงสัทธรรม ๑ ที่จะพร้อมกันเข้าได้ หาได้ยากในโลกชนผู้ใคร่ประโยชน์ จึงควรพยายามในกาลดังกล่าวมานั้น ที่ตนพอจะรู้ จะเข้าใจธรรมได้ขณะอย่าล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะบุคคลที่ปล่อยเวลาให้ล่วงไป พากันยัดเยียดในนรก ก็ย่อมเศร้าโศก
หากเขาจะไม่สำเร็จอริยมรรค อันเป็นธรรมตรงต่อสัทธรรมในโลกนี้ได้ เขาผู้มีประโยชน์อันล่วงเสียแล้ว จักเดือดร้อนสิ้นกาลนาน เหมือนพ่อค้าผู้ปล่อยให้ประโยชน์ล่วงไป เดือดร้อนอยู่ ฉะนั้น คนผู้ถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้ พรากจากสัทธรรม จักเสวยแต่สังสาระ คือ ชาติและมรณะสิ้นกาลนาน ส่วนชนเหล่าใดได้อัตภาพเป็นมนุษย์แล้ว เมื่อพระตถาคตประกาศพระสัทธรรม ได้กระทำแล้ว จักกระทำ หรือกระทำอยู่ตามพระดำรัสของพระศาสดา ชนเหล่านั้นชื่อว่า ได้ประสบขณะ คือ การประพฤติพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยมในโลก ชนเหล่าใดดำเนินไปตามมรรคา (หนทาง) ที่พระตถาคตเจ้าทรงประกาศแล้ว สำรวมในศีลสังวรที่พระตถาคตเจ้าผู้มีจักษุ เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ทรงแสดงแล้ว คุ้มครองอินทรีย์ มีสติทุกเมื่อ ไม่ชุ่มด้วยกิเลส ตัดอนุสัยทั้งปวงอันแล่นไปตามกระแสบ่วงมาร ชนเหล่านั้นแลบรรลุความสิ้นอาสวะ ถึงฝั่ง คือ นิพพานในโลกแล้ว
พวกเราก็ล่วงขณะมาแล้วนานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ จึงได้เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดๆ ๆ จนมาเป็นบุคคลนี้ เวลานี้ก็ยังมีพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคทรงประกาศไว้ดีแล้ว เป็นมนุษย์ที่ไม่พิการแต่กำเนิด มีสติปัญญาพอสมควร มีโอกาสได้ฟังพระ-สัทธรรมที่ยังมีครบถ้วน แม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่า “ทุกอย่างเป็นธรรม” แต่ก็มีศรัทธาที่จะศึกษาต่อไปเรื่อยๆ และน้อมนำมาพิจารณาว่า มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป และยังมีโอกาสได้ไปนมัสการสังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดีย ซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสว่า
สถานที่ควรเห็น ควรให้เกิดความสังเวชแห่งกุลบุตรผู้มีศรัทธา ๔ แห่งนี้ ๔ แห่งเป็นไฉน คือ สถานที่ควรเห็น ควรให้เกิดความสังเวชแห่งกุลบุตรผู้มีศรัทธาว่า พระ-ตถาคตประสูติ ณ ที่นี้ ๑ พระตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ณ ที่นี้ ๑ พระตถาคตทรงประกาศธรรมจักรอันยอดเยี่ยม ณ ที่นี้ ๑ พระตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปา-ทิเสสนิพพานธาตุ ณ ที่นี้ ๑
ดังนั้น การไปครั้งนี้ ท่านอาจารย์กล่าวว่า เหมือนไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ทรงแสดงปฐมเทศนา และปรินิพพาน รวมทั้งพระวิหารเชตวันที่ทรงจำพรรษาอยู่ถึง ๑๙ พรรษา ซึ่งควรจะเกิดกุศล เพราะคงไม่มีใครคิดว่า จะไปโกรธกันหรือจะไปทำอกุศล แต่การที่จะเป็นกุศลหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการสะสมของจิตที่จะนำไปสู่อารมณ์อย่างไร ถ้าได้ศึกษาพระธรรม มีปัญญาพอก็จะเห็นว่า อารมณ์ไหนควรจะเป็นที่อาศัยที่มีกำลัง ก็จะอดทน จริงใจที่จะทำความดียิ่งขึ้น
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่กรุณาชี้แนะให้เป็นกุศลทุกประการตลอดเวลา ท่านนำพระธรรมอันสุขุมลุ่มลึกที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว มาเผยแพร่ให้พวกเราได้ ฟัง และได้เข้าใจตามกำลังสติปัญญา ท่านเหมือนบุคคลผู้ถือโคมไฟส่องทางในความ มืด ถ้าเราเข้าใจและน้อมประพฤติปฏิบัติตามก็เหมือนคนตาดีที่เห็นทางนั้น แต่ถ้ายังไม่ น้อมประพฤติปฏิบัติตามก็เหมือนคนตาบอด ที่แม้โคมไฟจะสว่างอย่างไร ก็มองไม่เห็น พวกเราทุกคนก็มีศรัทธารู้ว่า นี่คือทาง แม้ยังไม่เห็นชัดเจน ก็เพียรพยายามฟังและ พิจารณาพระธรรมให้เข้าใจยิ่งขึ้น
ขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ
การฟังพระสัทธรรมเสมอๆ จึงเป็นอุปนิสสัยโคจร เป็นอารมณ์ที่เสพคุ้นจนเป็นที่อาศัย
ที่มีกำลัง ทำให้เกิดการสำรวมที่จะไม่กระทำอกุศลกรรมทั้งกาย ทั้งวาจา และใจเป็น
อารักขโคจร จนกว่าสติจะผูกติดกับสิ่งที่กำลังปรากฎตามความเป็นจริงเป็นอุปนิพันธ-
โคจร.....กราบอนุโมทนาพี่ kanchana.c ที่อุปมาพระธรรมที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ยาก
ที่จะเข้าใจจริงๆ ท่านอาจารย์เสมือนผู้ถือโคมไฟ นำพระสัทธรรมที่พระผู้มีพระ-ภาคทรงแสดงไว้มาเปิดเผย ส่องให้เดินทางไปในหนทางที่ถูกต้องได้ ก็ขึ้นอยู่
กับผู้เดินทางอีกจริงๆ ค่ะ ว่าจะมีตาดีหรือเปล่า
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ค่ะ
ที่จะเข้าใจจริงๆ ท่านอาจารย์เสมือนผู้ถือโคมไฟ นำพระสัทธรรมที่พระผู้มีพระ-ภาคทรงแสดงไว้มาเปิดเผย ส่องให้เดินทางไปในหนทางที่ถูกต้องได้ ก็ขึ้นอยู่
กับผู้เดินทางอีกจริงๆ ค่ะ ว่าจะมีตาดีหรือเปล่า
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ค่ะ