ความโกรธทําให้ผิวพรรณทราม [ทุพพัณณิยสูตร]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒- หน้าที่ 518
๒. ทุพพัณณิยสูตร
ว่าด้วยความโกรธทําให้ผิวพรรณทราม
[
๙๔๖] สาวัตถีนิทาน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้วยักษ์ตนหนึ่งมีผิวพรรณทราม ต่ำเตี้ยพุงพลุ้ย นั่งอยู่บนอาสนะแห่งท้าวสักกะ
จอมเทพ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ในที่นั้น พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์พากัน
ยกโทษ ตําหนิติเตียนว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย น่าอัศจรรย์หนอ
ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ไม่เคยมีมาแล้วหนอ ยักษ์นี้มีผิวพรรณทราม ต่ำเตี้ย
พุงพลุ้ย นั่งอยู่นอาสนะแห่งท้าวสักกะจอมเทพ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวก
เทวดาชั้นดาวดึงส์ยกโทษตําหนิติเตียนด้วยประการใดๆ ยักษ์นั้นยิ่งเป็นผู้มี
รูปงามทั้งน่าดูน่าชมและน่าเลื่อมใสยิ่งขึ้นกว่าเดิมด้วยประการนั้นๆ .
[๙๔๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์พา
กันเข้าไปเฝ้าท้าวสักกะจอมเทพถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้กราบทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้นิรทุกข์ ขอประทานโอกาสขอพระองค์ ยักษ์ตนหนึ่งมีผิวพรรณทราม
ต่ำเตี้ย พุงพลุ้ย นั่งอยู่บนอาสนะของพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญได้ทราบว่า
ณ ที่นั้น พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์พากันยกโทษตําหนิติเตียนว่า ดูก่อนท่านผู้
เจริญทั้งหลาย น่าอัศจรรย์หนอ ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ไม่เคย
มีมาหนอ ยักษ์นี้มีผิวพรรณทราม ต่ำเตี้ย พุงพลุ้ย นั่งอยู่บนอาสนะของท้าว
-สักกะจอมเทพ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ยกโทษตําหนิ
ติเตียนด้วยประการใดๆ ยักษ์นั้นยิ่งเป็นผู้มีรูปงามทั้งน่าดูน่าชมและน่าเลื่อมใส
ยิ่งกว่าเดิม ด้วยประการนั้นๆ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ยักษ์นั้นจักเป็นผู้มี
ความโกรธเป็นอาหารเป็นแน่เทียว ขอเดชะ
.[
๙๔๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพเสด็จเข้าไปหายักษ์ผู้มีความโกรธเป็นอาหารนั้นจนถึงที่อยู่ ครั้นแล้วทรงห่มผ้าเฉวียง
พระอังสาข้างหนึ่ง ทรงคุกพระชานุมณฑลเบื้องขวาลง ณ พื้นดิน ทรงประนม
อัญชลีไปทางที่ยักษ์ตนนั้นอยู่ แล้วประกาศพระนาม ๓ ครั้งว่า ดูก่อนท่านผู้
นิรทุกข์ เราคือท้าวสักกะจอมเทพ
ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ เราคือท้าวสักกะจอมเทพ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท้าวสักกะจอมเทพทรงประกาศพระนามด้วย
ประการใดๆ ยักษ์ตนนั้นยิ่งมีผิวพรรณทรามและต่ำเตี้ยพุงพลุ้ยยิ่งกว่าเดิม ยักษ์
นั้นเป็นผู้มีผิวพรรณทรามและต่ำเตี้ยพุงพลุ้ยยิ่งกว่าเดิมแล้ว ได้หายไป ณ ที่นั้น
นั่นเอง.
[๙๔๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพประทับ
นั่งบนอาสนะของพระองค์แล้ว เมื่อจะทรงยังพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ให้ยินดี
จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ไว้ในเวลานั้นว่า เราเป็นผู้มีจิตอันโทสะไม่กระทบ
กระทั่ง เป็นผู้อันความหมุน (มาร) นําไปไม่ได้ง่าย เราไม่โกรธมานานแล
ความโกรธ ย่อมไม่ตั้งอยู่ในเรา ถึงเราโกรธก็ไม่กล่าวคําหยาบ และไม่
กล่าวคําไม่ชอบธรรม เห็นประโยชน์ของตนจึงข่มตนไว้.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 520
อรรถกถาทุพพัณณิยสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในทุพพัณณิยสูตรที่ ๒ ต่อไปนี้
:-บทว่า
ทุพฺพณฺโณ ได้แก่ มีผิวเหมือนตอถูกไฟเผา. บทว่าโอโกฏิมโก
ได้แก่ ต่ำเตี้ยพุงพลุ้ย. บทว่า อาสเน ได้แก่ บัณฑุกัมพลศิลา.บทว่า โกธภกฺโข ยกฺโข นี้ เป็นชื่อที่ท้าวสักกะตั้งให้. ก็ยักษ์ตนหนึ่งนั้นเป็น
รูปาวจรพรหม. นัยว่า ท้าวสักกะสดับมาว่า ยักษ์ถึงพร้อมด้วยกําลังคือขันติ จึง
เสด็จมาเพื่อทดลองดู. ก็อวรุทธกยักษ์ ไม่อาจเข้าไปยังที่ที่อารักขาไว้เห็นปานนี้
ได้. บทว่า อุปสงฺกมิ ความว่า ท้าวสักกะฟังพวกเทวดาแล้วคิดว่า ไม่สามารถ
ให้ยักษ์นี้หวั่นไหวได้ ด้วยถ้อยคําหยาบ อันผูกประพฤติถ่อมตนตั้งอยู่ในขันติ จึง
จะสามารถให้ยักษ์หนีไปได้ดังนี้ มีพระประสงค์จะให้ยักษ์นั้นหนีไปด้วยประการ
นั้น จึงเสด็จเข้าไปหา. บทว่าอนฺตรธายิ ความว่า เมื่อท้าวสักกะทรงดํารงอยู่
ในขันติ ทําความเคารพอย่างแรงกล้าให้ปรากฏแสดงความถ่อมตน ยักษ์นั้น
ไม่อาจจะอยู่บนอาสนะของท้าวสักกะได้ จึงหนีไป. คําว่า สุ ในบทนี้ว่า น สุ
ปหตจิตฺโตมฺหิ เป็นเพียงนิบาต. ท่านกล่าวว่า เราเป็นผู้มีจิต อันโทสะไม่
กระทบแล้ว. บทว่านาวฏฺเฏน สุวานโย ท่านกล่าวว่า เราเป็นผู้อันความหมุน
ไปด้วยความโกรธนําไปไม่ได้ง่าย คือเราเป็นผู้ไม่กระทําง่าย เพื่อเป็นไปใน
อํานาจด้วยความโกรธ. คําว่า โว ในบทว่า น โว จิราหํ เป็นเพียงนิบาต.
ท่านกล่าวว่า เราไม่โกรธมานานแล้ว.
จบอรรถกถาทุพพัณณิยสูตรที่ ๒