อินเดีย ... อีกแล้ว 8 ส่งข้อสอบไล่
ส่งข้อสอบไล่
ไปอินเดียมาแล้ว ๕ ครั้ง จึงรู้สึกคุ้นเคยและเห็นอกุศลของตัวเองมากขึ้น ทุกครั้งที่ไป มีความรู้สึกรังเกียจความสกปรกรกรุงรังของสถานที่และผู้คน ทำไมนะรัฐบาลอินเดียถึงไม่รู้จักรณรงค์ให้คนอินเดียรู้จักใช้ห้องน้ำ ทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทาง ไม่บ้วนน้ำหมาก น้ำลายตามถนนหนทาง รักษาความสะอาดอาคารบ้านเรือนให้สวยงามเรียบร้อยลืมตัวไป คิดว่า เราเป็นมหารานีมหาราชาอย่างที่พวกอยากได้เงินยกย่อง พวกเขาถึง จะต้องเตรียมจัดทำความสะอาด จัดระเบียบสังคมให้เรียบร้อยอย่างที่ต้องการเพื่อต้อนรับเรา เราไปเยือนบ้านเขานานๆ ครั้ง ทำไมถึงจะไปกะเกณฑ์ให้ถูกใจตัวเอง เขาเป็นอย่างนี้มานานหลายพันปี เราไปบ้านเขา ก็ต้องยอมรับอย่างที่เขาเป็น และทำตัวเองให้กลมกลืมเพื่อท่องเที่ยวอย่างผู้ศึกษาประเพณี และวัฒนธรรมที่แตกต่าง เรามักจะก้าวก่ายกับเรื่องของคนอื่นด้วยความเคยชินที่อยากให้คนอื่นเป็นกุศล แต่ลืมมองตัวเองว่าเป็นกุศลหรืออกุศลเสมอ
เมื่อเดินทางตะลอนไปในรถตู้ ๑ คัน และรถบัส ๑ คัน เป็นเวลาหลายวันจากพุทธคยาไปราชคฤห์ จากราชคฤห์ไปนาลันทา ไปนอนที่เมืองปัฏนะ ชมไวสาลี นอนที่กุสินารา เข้าเนปาล ไปนอนลุมพินี จากลุมพินีไปสาวัตถี จากสาวัตถี ผ่านเมืองอโยธยาถึงสารนาถ ผ่านเมืองใหญ่เมืองน้อย ตลาดเล็กตลาดใหญ่ ทุ่งนาและไร่อ้อย แม่น้ำน้อยใหญ่ กระบวนรถสิบล้อ ม้า วัว แกะ อู๊ด ที่ใช้ถนนร่วมกัน ก็ต้องยอมรับความจริงว่าอินเดียก็ต้องเป็นอย่างนี้ เพราะมีผู้คนมากมายที่ยังนอนริมถนน บางคนฐานะดีหน่อยก็นอนบนรถที่เข็นขายของ ที่เราคิดเอาเองว่า ตอนกลางวันเป็นร้านขายของ กลางคืนก็เป็นที่นอน แล้วจะให้เขาทำห้องสุขา ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะแม้แต่บ้านที่จำเป็นกว่าก็ยังไม่มี ส่วนเรื่องความสะอาดนั้นก็เป็นไปไม่ได้อีก เพราะมีผู้คนมากมายไม่มีน้ำดื่มน้ำใช้ แล้วจะคอยมาล้างบ้านช่องให้สะอาดได้อย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนี้ แต่ก็ดีกว่าเดิมมาก (เมื่อ ๒๐ กว่าปีก่อนเมื่อไปครั้งแรก ตอนนั้นตกใจแทบสลบเมื่อเข้าห้องน้ำที่สนามบินกัลกัตตาพบว่าสกปรกที่สุด เพราะคนอินเดียวรรณะสูงจะไม่ล้างห้องน้ำเอง ต้องมีจัณฑาลมาราดน้ำให้ ซึ่งหลายครั้งๆ จึงจะราดน้ำทั้งถังไปบนพื้นทีหนึ่งแทนที่จะสะอาด กลับทำให้กระจัดกระจายมากขึ้น นึกภาพออกไหมคะ) ถนนก็ดีขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย ระบบไฟฟ้าก็ไม่ดับบ่อยเหมือนเมื่อก่อน ขอทานก็เป็นระเบียบขึ้นทุกอย่างดีขึ้นจนเห็นได้ ทุกคนที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันก็เตรียมพร้อมที่จะพบกับความไม่สะดวกสบาย ทุกคนพร้อมทำกุศล มีเสบียงเตรียมไปแจกกันจนเหลือเฟือ ไม่ว่าใครจะเอ่ยว่าขาดอะไร ก็จะมีผู้เตรียมมาเผื่อเสมอ ใครเจ็บป่วย ปวดเมื่อยก็มีหมอนวดหลายคน หลายแบบ มาช่วยนวดผ่อนคลายความเมื่อยล้า อยากถ่ายรูปก็มีตากล้องมืออาชีพและสมัครเล่น ใจกุศลหลายท่านคอยถ่ายให้ตลอดเวลา
การเดินทางครั้งนี้แม้ว่าจะลำบากกายบ้าง กับการต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ขโยเขยกอยู่ในรถ แต่ก็ได้เห็นอินเดียอย่างทั่วถึงทั้งในยามพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก ท่ามกลางแสงแดดแผดเผา กลางสายจันทร์นวลตา ในม่านหมอก และลมฝุ่น แต่ไม่มีอะไรในโลกที่จะได้มาเปล่าๆ จึงต้องแลกกับอาการปวดหลังและเท้าบวม เพราะนั่งรถบนทางขรุขระนาน บางวันกว่าจะถึงโรงแรม ๔ ทุ่ม (เด็กปัญญาอ่อนลืมที่ท่านอาจารย์พร่ำสอนอีกแล้วว่า เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมก็ถึงเวลาที่จะเห็นอย่างนี้ เลือกไม่ได้ ไม่ใช่ว่าจะต้องเอาอะไรไปแลก แม้ในแดนพุทธภูมิ ก็ไม่มีสักขณะเดียวที่จะระลึกได้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม รู้ตัวหรือยังว่า ปัญญาขั้นการฟังก็ยังอ่อนมาก)
การเดินทางครั้งนี้ได้เจริญกุศลทุกประการ เริ่มตั้งแต่ฟังธรรมจากเอ็มพี ๓ ที่เพื่อนร่วมทางเปิดให้ฟัง เจริญเมตตาจิตกับเพื่อนร่วมทางแม้จะเพิ่งเห็นกันครั้งแรก แต่เป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์ด้วยกัน และมีจุดประสงค์เดียวกัน คือ นมัสการสังเวชนียสถาน จึงไม่ยากที่จะเกิดเมตตา และได้เจริญเมตตากับคนอื่นๆ ด้วย เจริญกรุณากับเพื่อนผู้ป่วยไข้ ด้วยการนวดเฟ้นตามความสามารถให้อาการดีขึ้น เจริญอุเบกขากับกลุ่มขอทานที่มารุมขอ เพราะถ้าให้แล้วก็จะเดือดร้อน ก็คิดว่าเป็นกรรมของท่านเหล่านั้นเองที่ไม่ทำกุศลไว้ จึงลำบากยากจน เจริญมุทิตากับสหายธรรมที่ทำกุศลและได้รับคำชมเชย ให้ทานตามโอกาสที่เหมาะสม (ที่ไม่ทำให้ตนเองและคนอื่นเดือดร้อน) และอื่นๆ อีก ถ้าไม่เบื่อก็จะเล่าให้ฟังไปเรื่อยๆ ค่ะ ช่วยให้คะแนนด้วยค่ะว่า สอบไล่ผ่านหรือไม่ แต่ให้คะแนนตัวเองแล้วว่า สอบผ่านนะคะ แม้คะแนนจะไม่ดีนักก็ตาม (เพราะชอบก้าวก่ายกับอกุศลของคนอื่นบ้าง เฉพาะในใจ ไม่ได้พูดหรือแสดงออกมาลืมขัดเกลาอกุศลของตัวเอง) ถ้าใครให้สอบตก จะถือว่าไม่เข้าใจธรรมดีนะ จะบอกให้
ตอนแรกหนูก็คิดว่าอยากไปอินเดีย เพราะใจนึกไปถึงสิ่งที่ต้องการพบเจอ คือ การได้ไปเห็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าท่านเคยอยู่ และก็ไม่ได้คิดถึงความลำบากอะไรเลยคิดแค่ว่าไปอินเดียไปหาพระพุทธเจ้า แต่พออ่านบทความนี้แล้ว ทำให้ชักไม่แน่ใจว่าจะอยากไปดีมั๊ย เพราะเราเองก็ทนความลำบากกายไม่ค่อยได้ แล้วจะพาลทำให้จิตใจมีอกุศลไปด้วยอีก
ได้ไปอินเดียมา ๔ ครั้งแล้วค่ะ ถ้ามีโอกาสอีก และเหตุปัจจัยพร้อมจะไม่รีรอที่จะไปอินเดียอีก สภาพธรรมมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง พร้อมที่จะให้พิสูจน์ความจริง อยู่ที่มีปัญญาที่จะรู้ความจริงหรือเปล่า ปัญญาต้องค่อยๆ อบรมจากการฟังพระธรรมให้เข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง การฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ จนเป็นอุปนิสสยโคจรเป็นปัจจัยให้คิดถูกในทางกุศล ไม่คิดกระทำอกุศลซึ่งเป็นอารักขโคจร จนกว่าสติจะผูกติดกับสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตรงตามความเป็นจริงนั่นคือ สติปัฏฐานเกิดขึ้นเป็นอุปนิพันธโคจร ที่อินเดียก็มีสภาพธรรมมากมายรอให้พิสูจน์อยู่ ... ไม่พ้นไปจากการได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส และคิดนึก อินเดียเป็นสถานที่ผู้ที่มีความศรัทธามีความเข้าใจในพระสัทธรรมควรมานมัสการสังเวชนียสถานและอบรมเจริญกุศลทุกประการ สอบผ่านหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัญญา ปัญญาขั้นเข้าใจพระธรรมแล้วคิดที่จะงดเว้นจากอกุศล ขณะให้ทาน ขณะวิรัติจากอกุศลกรรม ขณะนั้นเป็นอารักขโคจรมีข้อสอบมากมายสำหรับเด็กกำพร้า ขี้โรค โรคเรื้อรัง โรคเรื้อน โรคจร โรคประจำ-วันที่บริโภคทุกวัน โรคโลภะ โรคโทสะ โรคมานะ โรคทิฏฐิ... พร้อมที่จะอบรมเจริญปัญญา พร้อมที่จะรับยา คือพระธรรม เพื่อรักษาโรคหรือยัง?
ขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตพี่ kanchana.c ค่ะ
นอกจากรถตู้ และ รถบัส ยังมีเรือลำนี้อีกลำ ที่นำพาพวกเราไปเจริญกุศลครับ
"...บริษัทที่สามัคคีกัน เป็นอย่างไร?ในบริษัทใด ภิกษุทั้งหลาย พร้อมเพรียงกัน ชื่นบานต่อกันไม่วิวาทกัน (กลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน) เป็นประหนึ่งว่านมประสมกับน้ำ มองดูกันและกันด้วยปิยจักษุ (คือ สายตาของคนที่รักใคร่กัน) บริษัทนี้เรียกว่า บริษัทที่สามัคคีกัน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาตเล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 482 ปริสาสูตร..."
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านและขออนุโมทนาพี่ kanchana.c ครับ
อนุโมทนาด้วยกับทุกท่านที่ได้ไปนมัสการ กราบบูชาสังเวชนียสถานที่องค์พระบรมศาสดาได้ทรงประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพาน ข้าพเจ้าเอง ไม่เคยไปด้วยเหตุของโมหเหตุ คือน่าจะเป็นมิจฉาทิฎฐิมาจับจิต ให้พาไปคิดว่า เมืองอินเดียนี้ไม่น่าเป็นที่ท่องเที่ยว แต่เมื่อดูจากภาพ และอ่านเรื่องราวของผู้แสวงบุญมาแล้ว นั่งคิดอีกที่ว่าท่านเหล่านั้นช่างมีสัทธาสูงและมีโอกาสบำเพ็ยบารมีสิบทัส ตั้งแต่การละความตระหนี่เก็บเงินไป ทนลำบากกับการเดิน ขยันเดินทาง อื่นๆ อีก ตนเองจึงเริ่มไตร่ตรองว่าสักวันจะไปเจริญพระพุทธพจน์ที่สังเวชนียสถานเหล่านี้ ช่วงนี้ต้องเจริญพระพุทธพจน์พร้อมนึกภาพของสังเวชนียสถานไปก่อน เชิญชวนเพื่อนๆ ชาวพุทธนะคะ ภ้ายังไม่มีโอกาสไปอินเดีย ลองสวดมนต์พระพุทธพจน์และนึกภาพสังเวชนียสถานพร้มลำดับภาพพระพุทธประวัติไปด้วยกัน กุสลน่าจะเกิดได้ สิ่งสำคัญไม่ว่าไปที่ไหนอย่าหงุดหงิดน้อยใจเสียใจ อันมาจากโมหะแล้วกันค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิกับท่านที่ได้ไปสร้างกุศลนะคะ
ขออนุญาตชมด้วยความจริงใจ ในความเป็นนักเขียนซีไรน์ คุณkanchana.c ในฐานะผมไมเคยไป อินเดีย ก็ได้มีนักเขียนท่านนี้แหละที่มาเล่าสูกันฟังบ้าง ขอกราบอนุโมทนาด้วยความเคารพยิ่ง
ไม่ได้เดินทางไปกับรถ อ่านแล้วเห็นภาพ อดทนนะคะอ.แดง ถ้ามีเหตุปัจจัยไปอีกนะคะ เดี๋ยวคะแนนดีเองค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนากับท่านอาจารย์ค่ะ เพราะกุศลจิตเกิดเมื่ออ่านครั้งแรก แต่เมื่อได้อ่านอีกหลายๆ ครั้ง ทำให้เกิดกุศลจิต ประกอบกับบทความของท่านอาจารย์เองหลายๆ บททำให้เห็นภาพโดยที่ไม่ต้องเห็นภาพ เกิดความอยากที่จะได้มีโอกาสสักครั้งในชาตินี้ ขอให้ได้มีบุญเหมื่อนท่านอาจารย์ที่มีโอกาสได้ไปตั้งหลายครั้งค่ะ (ชอบที่อาจารย์เขียนมากนะคะ ตรงจัด ชัดเจนดี)
ขอขอบคุณและขออนุโมทนาจิตอันเป็นกุศลอีกครั้งค่ะ