ถ้าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ปัญญาต้องรู้อย่างไรในชีวิตประจำวัน

 
รวส
วันที่  22 พ.ย. 2552
หมายเลข  14309
อ่าน  1,809

ก็ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา การใช้ชีวิตประจำวันปัญญาต้องรู้หรือเข้าใจอย่างไร ถ้าสติไม่ระลึกถึงความเป็นอนัตตา ขอความเมตตาท่านผู้รู้ช่วยตอบด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 23 พ.ย. 2552
ก็ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา การใช้ชีวิตประจำวันต้องอบรมเจริญปัญญาเพื่อศึกษาค่อยๆ รู้ความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาถ้าสติไม่เกิดระลึกถึงความเป็นอนัตตา ก็ไม่สามารถบังคับให้เกิดได้ต้องอาศัยสังขารขันธ์ปรุงแต่ง ด้วยการศึกษา การฟัง การพิจารณาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 23 พ.ย. 2552

"...ถ้าสติไม่ระลึกถึงความเป็นอนัตตา..." ขณะนั้นก็เป็นอนัตตาแล้วใช่มั้ยค่ะ?

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 23 พ.ย. 2552

ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สติก็เป็นอนัตตา ปัญญาก็เป็นอนัตตา ในชีวิตประจำวันค่อยๆ อบรมเจริญความเข้าใจถูกในลักษณะสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ จนกว่าความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นๆ เป็นปัจจัยให้ปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงค่ะ....ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 23 พ.ย. 2552

ขออนุญาตเรียนถามเพิ่มเติมว่า จำเป็นที่จะต้องเข้าใจโดยละเอียดในเรื่องของรูปและนามเสียก่อนจึงจะสามารถเข้าใจเรื่องอนัตตา ใช่หรือไม่ครับ ขอบพระคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 23 พ.ย. 2552

ถ้าไม่เข้าใจขั้นการฟัง การจะรู้ลักษณะของธรรมะก็เป็นไปไม่ได้ ขั้นแรกต้องศึกษา คือฟังธรรมให้เข้าใจในสิ่งที่มีจริงๆ ให้มากขึ้น ฟังจนกว่าปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้น เมื่อเข้าใจแล้ว จะเข้าใจในสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ปัญญาจะทำหน้าที่เอง ไม่ใช่เราไปทำ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
paderm
วันที่ 25 พ.ย. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ธรรมขณะนี้แสดงถึงความเป้นอนัตตาอยู่แล้ว เพระว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง มีจริงเพราะมีลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งโดยปกติจะไม่รู้ว่าเป็นธรรมเพราะเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน สิ่งต่างๆ ไปหมด ดังนั้นจากคำถามที่ว่าปัญญาจะรู้ความเป็นอนัตตาอย่างไร ปัญญาก็รู้ตัวธรรมที่มีในขณะนี้ คือ รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ตัวลักษณะที่ปัญญารู้ว่าเป็นเพียงธรรมนั่นแหละ แสดงถึงความเป็นอนัตตาแล้วเพราะว่าในเมื่อเป็นแต่เพียงธรรมที่ปัญญารู้ในขณะนั้น ก็ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นแต่เพียงธรรมในขณะนั้น การที่รู้ว่าเป็นธรรมในขณะนั้นนั่นคือการรู้ความเป็นอนัตตา เพราะว่างจากสัตว์บุคคล ตัวตน เป็นแต่เพียงธรรมครับ ดังนั้นอนัตตาจึงมี 2 ความหมาย คือว่างจากสัตว์บุคคล เป็นแต่เพียงธรรม และอีกความหมายหนึ่งคือบังคับบัญชาไมได้ครับ สาธุ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
paderm
วันที่ 25 พ.ย. 2552
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 14309 ความคิดเห็นที่ 4 โดย จักรกฤษณ์ ขออนุญาตเรียนถามเพิ่มเติมว่า จำเป็นที่จะต้องเข้าใจโดยละเอียดในเรื่องของรูปและนามเสียก่อน จึงจะสามารถเข้าใจเรื่องอนัตตา ใช่หรือไม่ครับ ขอบพระคุณครับ

ก็ต้องเข้าใจพื้นฐานเป็นสำคัญว่า การจะเข้าถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมนั้น คือการที่สติและปัญญาเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา การรู้ตัวธรรมขณะนั้นก็รู้ความเป็นอนัตตาครับ แต่ก็ก่อนจะถึงตรงนั้นต้องเริ่มจากปัญญาขั้นการฟังที่ถูกต้อง ปัญญาขั้นการฟังที่มั่นคงว่าธรรมคืออะไร ธรรมคือขณะนี้ สิ่งที่ศึกษาก็เพื่อเข้าใจสภาพธรรมในขณะนี้ แต่ไม่ใช่การศึกษาด้วยความละเอียดที่จะต้องจำชื่อ รู้ชื่อให้หมดในเรื่องนามธรรมและรูปธรรม นั่นไม่ใช่ความละเอียดอันจะเป็นปัจจัยให้สติเกิดรู้ความเป็นอนัตตา แต่ความละเอียดที่ว่านี้เกิดจากปัญญาที่มีความเห็นถูกจากขั้นการฟังที่เป็นสัจจญาณ จนมั่นคงว่าธรรมคืออะไร ขณะไหนและเพื่อความเข้าใจในขณะนี้ไม่ว่าศึกษาเรื่องอะไร ก็คือความจริงในขณะนี้ จึงจะเป็นปัจจัยให้เข้าใจความเป็นอนัตตา

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Sam
วันที่ 27 พ.ย. 2552

ก็ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา การใช้ชีวิตประจำวันปัญญาต้องรู้หรือเข้าใจอย่างไร ถ้าสติไม่ระลึกถึงความเป็นอนัตตา ปัญญาและสติก็เป็นธรรมะ และเป็นอนัตตา อันไม่อาจควบคุมบังคับบัญชาให้เกิดขึ้นได้ แต่ปัญญาและสติจะเกิดขึ้นระลึกสภาพธรรมด้วยความเป็นอนัตตาได้ ก็เพราะมีเหตุปัจจัยทำให้ปัญญาและสติเกิดขึ้น นอกจากนี้ ปัญญาและสตินั้นก็มีหลายระดับ และการเจริญขึ้นนั้นก็ต้องเป็นไปตามลำดับขั้น ไม่ข้ามขั้นเลย อันได้แก่ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ เหตุปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้ปัญญาและสติ เกิดขึ้นรู้และระลึกถึงสภาพธรรมด้วยความเป็นอนัตตานั้น คือการศึกษาพระธรรมครับ ด้วยการฟัง การอ่าน การสนทนา ฯลฯ เพราะปัญญาและสติขั้นแรก ที่จะเจริญขึ้นต่อไปนั้น คือปัญญาและสติที่รู้ และระลึกในเรื่องราวของสภาพธรรมตามที่ได้ศึกษานั่นเอง ซึ่งปัญญาและสติขั้นนี้เองที่เป็นเหตุปัจจัยทีสำคัญที่จะทำให้เกิดปัญญาและสติขั้นที่รู้ และระลึกสภาพธรรมด้วยความเป็นอนัตตาครับ

และในการศึกษาพระธรรมนั้น ก็ควรตระหนักว่า การเรียนรู้เรื่องราว ก็เพื่อให้ระลึกรู้สภาพธรรมที่เป็นอนัตตาจริงๆ ครับ เพราะไม่เช่นนั้น ก็อาจติดอยู่ที่คำ ชื่อ หรือเรื่องราว โดยไม่น้อมระลึกถึงสภาพธรรมที่กำลังมีอยู่แล้วจริงๆ (ไม่ว่าจะมีเรื่องราวอธิบายไว้หรือไม่)

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
รวส
วันที่ 23 ธ.ค. 2552

กราบอนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ