ประโยชน์และจุดมุ่งหมายของการศึกษาพระธรรมในทัศนะของข้าพเจ้า
ผมเพิ่งจะเริ่มสนใจศึกษาพระธรรมอย่างจริงจังเมื่อไม่นานครับ รู้สึกขอบคุณในพระคุณของคุณแม่ผมเองที่ท่านชอบฟังรายการของ อ สุจินต์ฯ ในบ้านบ่อยๆ ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจฟังมากครับแบบผ่านๆ แต่ความที่มันเข้าหูบ่อยๆ เป็นปีๆ ก็เลยมีความคิดว่ามันต้องมีอะไรดีแน่ คุณแม่ถึงได้ฟังบ่อยๆ คราวนี้ก็เลยลองฟังเองแบบตั้งใจดูบ้าง ก็เลยได้เห็นประโยชน์ครับ
สำหรับผม หลังจากได้ฟังธรรมที่ท่าน อ. สุจินต์นำมาบรรยาย ทุกครั้งจะรู้สึกปิติและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคูณของพระพุทธเจ้า ที่ทำให้เราเริ่มที่จะเข้าใจทุกสิ่งที่มีจริงๆ ในโลกอย่างถ่องแท้มากขึ้น เมื่อก่อนจะคิดว่าธรรมะเป็นเรื่องพิธีกรรม ทำบุญไปวัดเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว ธรรมะอยู่กะเราตลอดเวลา เป็นเรื่องในชีวิตประจำวันเราเองแต่เราก็ไม่เคยสนใจ หรือรู้ความจริงว่าจริงๆ แล้วมันเป็นธรรมะแต่ละอย่างๆ แม้แต่ตัวเราทั้งหมดทุกส่วนไม่ว่าร่างกายและจิตใจเรานั้นแหละแท้จริงแล้วคือ ธรรมะ การศึกษาธรรมะก็เลยทำให้ผมรู้จักตัวเองในส่วนของร่างกายและจิตใจดีขึ้นครับ
อีกประการ การรู้ธรรมะมากขึ้น ทำให้เราเห็นทุกข์เป็นเรื่องปกติครับ เลยทำให้วางใจเป็นกลางได้ดีขึ้นกว่าตอนที่ยังไม่รู้ธรรมะครับ เพราะยังไงเราก็ต้องเจอมันตราบที่เรายังต้องเกิดเป็นคน ซึ่งทุกข์ในทางโลกก็เห็นง่ายหน่อย เช่น ทุกข์จากทำงาน ทุกข์จากการเรียนหนังสือ ทุกข์จากการทำมาหากิน ทุกข์จากโรค ฯลฯ แต่บางคนก็มองเป็นความสุขไปก็มีนะครับ เห็นไหมครับการไม่รู้ธรรมะ ทำให้มองโลกผิดไปจากความเป็นจริงไปเลย คนละขั้วที่เห็นคือ การเห็นความทุกข์ว่าเป็นความสุข ดังนั้น การเห็นทุกข์จึงมีประโยชน์เพราะทำให้เราใช้ชีวิตไม่ประมาท รอบคอบกว่าแต่ก่อน ยิ่งฟัง อ. สุจินต์จะทราบเลยว่า จริงๆ แล้วทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับตลอดเวลา ฟังแล้วรู้สึกว่ามันทุกข์ยิ่งกว่าทุกข์ในความหมายทั่วไปของคนเราอีก ทุกข์ทุกขณะจิต ฟังธรรมผ่าน อ. สุจิตน์ทำให้ผม เข้าใจการเห็นทุกข์ว่า เราจะพ้นทุกข์ได้ ไม่ใช่แค่เห็นทุกข์แบบชาวบ้านรึแบบ ที่ผมเข้าใจเมื่อก่อน แต่ต้องเห็นทุกข์ในอริยสัจ นั่นคือการเห็นธรรมะคือสภาพร่างกายและจิตใจของเรานั้นมันมีการเกิดดับทุกขณะจิตเลยทีเดียว จึงจะเกิดความเบื่อในร่างกายและจิตใจนี่อย่างแท้จริง การฟังธรรมะก็ดีครับ เหมือนมีเสียงช่วยเตือนสติเราให้กลับมาสังเกตุกายใจเรามากขึ้น แทนที่จะสนใจออกไปกับเรื่องราวต่างๆ ข้างนอกเรา
ผมคิดว่า จุดมุ่งหมายสูงสุด การศึกษาธรรมะคือ นิพพาน ซึ่งเป็นโลกุตธรรมเหนือทุกข์ เหนือสุข ซึ่งจะพ้นได้ก็คือต้องปล่อย ทั้งทุกข์ ทั้งสุข แต่การที่จะปล่อยได้สนิทใจก็คือ เราต้องเห็นโทษของทั้ง ทุกข์และ สุขก่อน ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล พระพุทธ-องค์ทรงเรียก แต่ละอย่างว่าธรรม ถ้าเราเข้าใจมันถ่องแท้ ว่าธรรมะแต่ละอย่างลักษณะเป็นยังไงก่อน ซึ่งตอนที่ฟังธรรมจาก อ. สุจินต์ ตรงนั้นเราก็จะเข้าใจได้ว่าเป็นอย่างงี้แต่ที่สำคัญกว่าผมคิดว่า จากความเข้าใจตรงนั้น พอลักษณะที่เราเคยได้ฟังมานั้นมันเกิดขึ้นมาในชีวิตจริงๆ เราสามารถจะประจักษ์ได้อย่างที่เราเคยจำเคยฟังมารึเปล่าเท่านั้น ซึ่งถ้าเราสามารถทำได้ก็คือได้เห็นธรรมละ และถ้าทำบ่อยๆ ที่ อ. สุจินต์ เรียกว่าภาวนา เราก็ได้ภาวนาละไปในตัวโดยไม่ต้องไปวัดเลย เพราะสามารถทำได้ทุกขณะเลยไม่ว่าที่ไหน เพราะเรานั่นแหละเป็นธรรมะ ก็ดูกายใจได้เป็นประจำวันคับ ถ้าไม่ผิดผมคิดว่าเราฟัง อ. สุจินต์ เพื่ิอให้รู้จักธรรมะ แต่ละอย่างดีขึ้นก่อนว่า มันมีลักษณะเป็นยังไง เหมือนเก็บข้อมูลก่อน ก่อนภาคสนามที่เราแต่ละคนต้องไปเจอเองไม่เหมือนกันซึ่งพอธรรมะนั่นเกิด เราถึงจะประจักษ์ได้ ก็ด้วยมันจะระลึกได้เองว่า ลักษณะนี้นี่เองที่เราได้เคยได้ยินได้ฟังมานี่ เราก็จะรู้ได้ตรงลักษณะ แต่ถ้าเราไม่ฟังธรรมะ เราก็ไม่มีข้อมูลที่จะนำระลึกได้เมื่อธรรมะนั้นเกิด ในตอนที่เราภาวนา (ดูกายดูใจของเรา) ครับ
ดูๆ นิพพานอาจจะดูเป็นเรื่องไกลตัวเราก็จริง แต่ถ้าเรายิ่งไม่สนใจมัน มันก็จะยิ่งเป็นเรื่องห่างเราไปเรื่อยๆ มิใช่หรือครับ ผมไม่หวังนิพพานในเร็วๆ นี้หรอก เพราะตามเหตุปัจจัย คิดว่ายังมีปัญญาน้อยมาก แต่ตอนนี้ขอเฉียดกรายกระแสพระนิพพานบ้างโดยรู้ธรรมะมากขึ้นก็ยังดีครับ แต่ก็รู้สึกมีกำลังใจ และไม่เครียด เพราะได้ยิน อ. สุจินต์ กล่าวไว้บ่อยๆ คือศึกษาธรรมะเพื่อเข้าใจ อีกประโยค ที่ อ. สุจินต์ มักจะเตือน คือ ศึกษาธรรมะให้รู้ว่า (ทุกอย่าง) เป็นธรรมะ ได้ยินแล้วได้สติทำให้ไม่เผลออยู่ในโลกที่สมมติบัญญัติจนเกินไปดีครับ
อ. สุจินต์ และคณะเป็นกัลยาณมิตรในทางธรรมของเราทุกคน
ขอกราบอนุโมทนาบุญทุกท่านครับขอบคุณที่อ่านครับ
จากผู้ยังมีปัญญาน้อย... ยงยศ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
การสิกขาพระพภิธรรมนั้นแง่มุมที่ข้าพเจ้าเข้าใจนั้นเป็นการศึกษาเรื่องราวความเป็นไปของสัตว 31ภูมิ คือ อบายภูมิ มนุษยภูมิ เทพ พรหม อรูปพรหม เพื่อที่เราจะพัฒนาจิตเราให้ไปสู่โลกุตรภูมิ ได้แก่ โสดาปัตติมรรค -ผล สกิทาคามีมรรค-ผล อนาคามีมรรค-ผล อรหันตมรรค-ผล จนเข้าสู่นิพพาน ไม่มีการกลับมาปฏิสนธิในสังสารวัฏฏ์ฏ อีก การสิกขานั้นใช่แต่การเรียนตัวหนังสือ หากแต่ต้องประกอบบุญกิริยาวัตถุ ๑0ประการ หรือเรียกว่า กุสลกัมบถ๑0 ให้ถูกต้องพระธรรมวินัย สำหรับ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งก่อนตรัสรู้นั้นท่านทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญพระบารมี ๑0อยู่ถึง ๒0 อสงไขยแสนกัปป์ กว่าจะมาทรงตรัสรู้ การที่คนเกิดมาได้พบพระธรรมของพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสรู้นั้น เป็นกุสลยิ่งใหญ่ และสิกขาต่อให้รู้และดำเนิชีวิตตามที่รู้อย่างถูกต้องแล้ว ย่อมเป็นการสร้างมหากุสลแก่ตนเอง ทุกชาติต่อๆ ไป
ท่านที่สนใจ ควรสิกขาเบื้องต้นคือ คำว่า สังสารวัฏฏ์ฏ วิปากวัฏฏ์ฏ กิเลสวัฏฏ์ฏ กรรมวัฏฏ์ฏ จิต เจตสิก รูป การสร้างกุสลกัมบถ๑0 การละอกุสลกรรม๑0 ให้ถ่องแท้ และทำให้ถูกต้องก่อนที่จะไปถึงการทำฌาน สมาธิ และวิปัสสนา การปฏิสนธิ์ของ ทุคติอเหตุกะบุคคล สุคติอเหตุกะบุคคล ซึ่งเป็นภูมิที่คนเราอาศัยอยู่ ต้องมีเวลา ใจร้อนไปเร็วๆ ไม่ได้ อย่าลืมว่า พระพุทธเจ้าทรงใช้เวลา ๒0 อสงไขย แสนกัปป์ อย่าท้อใจ ท่าน อ สุจินต์เอง เราฟังท่านมาร่วม 20ปีแล้ว ท่านอาจารย์คงสิกขามานานกว่า 20ปีแน่ ขอให้ท่านจงเจริญในธรรมตลอดไป
ดิฉันมีความคิดเห็นคล้ายๆ คุณ จุดเริ่มต้นที่ได้ฟัง มีรุ่นพี่แนะนำให้ฟัง การสนทนาธรรมของ ท่านอาจารย์สุจินต์ ดิฉันได้ฟังการสนทนาทางวิทยุมาเป็นเวลา9ปี กาลเวลามิได้หมายถึงว่าฟังนานแล้วจะรู้มาก กลับพึ่งจะเริ่มเข้าใจเมื่อ2ปีนี้เอง และเริ่มมั่นคงทีละน้อย แต่ต้องยอมรับว่ามีบ้างครั้งที่จิตเศร้าหมองโดนกิเสลกลุ้มรุม ทำให้เข้าใจได้ว่าเวลา9ปีที่รับฟังมา ตอนแรกคิดว่าตัวเองไม่รู้เรื่องเลย เพราะการสนทนามักมีคำบาลีอยู่มากมายฟังแล้วไม่เข้าใจ แต่ปัจจุบันเข้าใจว่านี้กระมังที่เรียกว่า การสั่งสมโดยมิรู้ตัว จึงอยากกราบขอบพระคุณ ท่านอาจารย์ สุจินต์และท่านผู้ร่วมสนทนาธรรมทุกท่าน มา ณ.ที่นี้ด้วยค่ะ
ขอบคุณค่ะ