โทษของวัฏฏะ
[เล่มที่ 42] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 51
ช่างแก้วทำโทษพระติสสเถระเพราะเข้าใจผิด
นายช่างแก้วนั้นกล่าวว่า " พวกเราทั้งหมดด้วยกัน เข้าถึงความเป็น ทาส ยังไม่เท่าค่าแก้วมณี " ดังนี้แล้ว จึงถือเอาเชือกพันศีรษะพระเถระ ขันด้วยท่อนไม้. โลหิตไหลออกจากศีรษะหูและจมูกของพระเถระ . หน่วย ตาทั้งสองได้ถึงอาการทะเล้นออก ท่านเจ็บปวดมาก ก็ล้มลง ณ ภาคพื้น นกกะเรียนมาด้วยกลืนโลหิต ดื่มกินโลหิต
ช่างแก้วเตะนกกะเรียนตาย แล้วจึงทราบความจริง ขณะนั้น นายมณีการจึงเตะมันด้วยเท้า แล้วเขี่ยไปพลางกล่าวว่า "มึงจะทำอะไรหรือ" ด้วยกำลังความโกรธที่เกิดขึ้นในพระเถระ นกกะเรียนนั้นล้มกลิ้งตายด้วยการเตะทีเดียวเท่านั้น พระเถระเห็นนกนั้น จึง กล่าวว่า "อุบาสก ท่านจงผ่อนเชือกพันศีรษะของเราให้หย่อนก่อนแล้ว จงพิจารณาดูนกกะเรียนนี้ (ว่า) มันตายแล้วหรือยัง" ลำดับนั้น นาย ช่างแก้วจึงกล่าวกะท่านว่า "แม้ท่านก็จักตายเช่นนกนั่น"
พระเถระตอบว่า "อุบาสก แก้วมณีนั้น อันนกนี้กลืนกินแล้ว หากนกนี้จักไม่ตายไซร้ ข้าพเจ้าแม้จะตาย ก็จักไม่บอกแก้วมณีแก่ท่าน" ช่างแก้วได้แก้วมณีคืน แล้วขอขมาพระติสสเถระ เขาแหวะท้องนกนั้นพบแก้วมณีแล้ว งกงันอยู่ มีใจสลด หมอบลง ใกล้เท้าของพระเถระ กล่าวว่า "ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอดโทษแก่ผม ผม ไม่รู้อยู่ ทำไปแล้ว"
พระเถระ อุบาสก โทษของท่านไม่มี ของเราก็ไม่มี มีแต่โทษ ของวัฏฏะเท่านั้น เราอดโทษแก่ท่าน นายมณีการ ท่านขอรับ หากท่านอดโทษแก่ผมไซร้ ท่านจงนั่ง รับภิกษาในเรือนของผมตามทำนองเถิด
พระเถระกล่าวว่า"อุบาสก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจักไม่เข้าไปภายในชายคาเรือนของผู้อื่น เพราะว่านี้เป็นโทษแห่งการเข้าไปภายในเรือนโดยตรง ตั้งแต่นี้ไป เมื่อเท้าทั้งสองยังเดินไปได้ เราจักยืนที่ประตูเรือนเท่านั้น รับภิกษา" ดังนี้แล้ว สมาทานธุดงค์กล่าวคาถานี้ว่า
ภัตในทุกสกุลๆ ละนิดหน่อย อันเขาหุงไว้เพื่อมุนี เราจักเที่ยวไปด้วยป ลีแข้ง กำลังแข้งของเรายังมีอยู่
ก็แล พระเถระ ครั้นกล่าวคาถานี้แล้ว ต่อกาลไม่นานนัก ก็ปรินิพพานด้วยพยาธินั้นนั่นเอง นกกะเรียนได้ถือปฏิสนธิในท้องแห่งภริยาของนายช่างแก้ว นายช่างแก้วทำกาละแล้ว ก็บังเกิดในนรก ภริยาของนายช่างแก้วทำกาละแล้ว เกิดในเทวโลก เพราะความเป็นผู้มีจิตอ่อนโยนในพระเถระ ภิกษุทั้งหลายทูลถามอภิสัมปรายภพของชนเหล่านั้นกะพระศาสดา
พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย สัตว์บางจำพวกในโลกนี้ ย่อมเกิดในครรภ์ บางจำพวกทำกรรมลามก บางจำพวกทำกรรมดีแล้ว ย่อมเกิดในเทวโลก ส่วนผู้ไม่มีอาสวะ ย่อ มปรินิพพาน"
ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :- คพฺภเมเก อุปฺปชฺชนฺติ นิรยํ ปาปกมฺมิโน สคฺคํ สุคติโน ยนฺติ ปรินิพฺพนฺติ อนาสวา ชนทั้งหลายบางพวก ย่อมเข้าถึงครรภ์ ผู้มีกรรมลามก ย่อมเข้าถึงนรก ผู้มีกรรมเป็นเหตุแห่ งสุคติ ย่อมไปสวรรค์ ผู้ไม่มีอาสวะย่อมปรินิพพาน
แก้อรรถ
ในบทเหล่านั้น ครรภ์มนุษย์เทียว พระศาสดาทรงประสงค์เอาในบทว่า คพฺภํ นี้. คำที่เหลือในคาถานี้มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลายมีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล
เรื่องพระติสสเถระผู้เข้าถึงสกุลนายช่างแก้ว จบ
อ่านพระสูตรนี้ พิจารณาเห็นว่า ความโกรธ เกิดเพราะความรักตัว เมื่อต้องเสื่อมเสียลาภของตัว ก็จึงเกิดความไม่พอใจ ถึงกับทำร้าย เบียดเบียนชีวิตอื่นได้ ไม่เว้นแม้ผู้เป็นพระอริยบุคคลที่ไม่มีกิเลสแล้ว ซึ่งเป็นโทษมาก เป็นกรรมที่หนักที่สุด แม้เคยทำกุศลกรรมมากมายอย่างไรก็ตาม แต่กรรมที่ีหนักถึงขั้นอนันตริยกรรม ต้องให้ผลนำเกิดในอบายภูมิทันที โดยไม่มีกรรมอื่นใดจะขวางได้ เป็นทุกข์ที่เกิดจากความไ่ม่รู้ เพราะไม่ฟังพระธรรม จึงไม่รู้ความจริง จึงโกรธในสิ่งที่ไม่มีสาระ และไม่รู้ความจริงว่า ไม่มีเรา แล้วจะมีอะไรที่เป็นของเรา? ปุถุชน ไม่ฟังพระธรรม ไม่อบรมเจริญปัญญา ไม่เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา จึงยังไม่ปลอดภัยจากอบายภูมิ
ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
ว่าด้วยเหตุให้เกิดความโกรธ ๑๐ อย่าง
ใครทำร้ายเรา
ขออนุโมทนาในกุศลทุกท่านค่ะ