อินเดีย ... อีกแล้ว 15 เขาดงคศิริ
เขาดงคศิริ
สถานที่สำคัญอีกแห่งในคยา คือ เขาดงคศิริ หรือ ทุกรกิริยาบรรพต ที่อยู่ห่างจากมหา สถูปพุทธคยาประมาณ ๑๖ กิโลเมตร แต่ถนนไม่ดี ทำให้การเดินทางลำบาก ไม่ค่อยมี คนพาไป ไปอินเดีย ๕ ครั้ง เพิ่งเคยไปเขาดงคศิริเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อต้นปี ๕๒ นั้น กำลังก่อสร้างถนน จึงเต็มไปด้วยฝุ่น ตอนนี้อาจจะสร้างเสร็จแล้วก็ได้
เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จออกบรรพชาแล้ว ทรงหาอุบายที่จะตรัสรู้ ด้วยการศึกษาใน สำนักของคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงในครั้งนั้น และได้ทรงทดลองในลัทธิต่างๆ ทุกอย่าง ทรงพบว่าไม่ใช่ทางตรัสรู้ หลังจากที่พระองค์ทรงหลีกจากสำนักของอาฬารดาบสกา- ลามโคตรและอุทกดาบสรามบุตรแล้ว ทรงเสด็จไปประทับที่อุรุเวลาเสนานิคม แคว้น มคธ เพราะทรงทอดพระเนตรเห็นพื้นที่ราบรื่น แนวป่าเขียวสด เป็นที่เบิกบานใจ แม่น้ำ ไหล มีน้ำใสสะอาด มีท่าอันดี น่ารื่นรมย์ มีหมู่บ้านที่จะอาศัยเที่ยวบิณฑบาตได้
เขาดงคศิริมีถ้ำที่เป็นสถานที่พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา คือ ทรมานพระกายให้ ลำบาก ซึ่งเป็นที่นิยมกันในยุคนั้นว่าเป็นกุศลที่วิเศษ อาจจะทำให้ทรงตรัสรู้ได้
พระองค์ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุด้วยพระชิวหา ทรงผ่อนกลั้นลม อัสสาสะปัสสาสะ ทรงอดพระกระยาหาร จนพระกายเหี่ยวแห้ง พระฉวีเศร้าหมอง พระ อัฐิปรากฏทั่วพระกาย เมื่อทรงลูบพระกาย เส้นพระโลมามีรากอันเน่าหลุดร่วงจากขุม พระโลมา พระกำลังน้อยถอยลง จะเสด็จไปทางไหนก็ซวนล้ม ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา นับแต่ทรงผนวชได้ ๖ ปี ทรงพระดำริว่า ไม่มีใครจะทำทุกรกิริยายิ่งกว่าพระองค์ได้อีก คงจะไม่ตรัสรู้ด้วยวิธีนี้ ทรงละความเพียรในการทรมานพระกายให้ลำบาก ทรงทำความ เพียรทางจิตต่อไป ซึ่งจะต้องเสวยอาหารให้มีกำลัง ตั้งแต่นั้นก็เสวยอาหาร ไม่ทรงอด อีกต่อไป
การบำเพ็ญทุกรกิริยาของพระองค์แม้ไม่ได้ผล แต่ก็มีประโยชน์ในการทรงเทศนาสั่ง สอนคนในยุคนั้น ที่คิดว่าการทรมานตนจะทำให้หมดกิเลส พระองค์ทรงแสดงในมหา สีหนาทสูตร ซึ่งเป็นการบันลือสีหนาทที่ยิ่งใหญ่ เพราะเป็นการเปล่งวาจาอย่าง อาจหาญ เล่าความที่ทรงเคยทดลองปฏิบัติมาแล้วทุกอย่าง ตามที่เข้าใจกันว่าจะตรัสรู้ ได้ แต่ก็ไม่สำเร็จ การค้านข้อปฏิบัติของสมณพราหมณ์ครั้งนั้น จึงเป็นการค้านอย่างมี เหตุผลยิ่ง (มหาสีหนาทสูตร ... พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน โดย สุชีพ ปุญญา นุภาพ)
บางท่านเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะต้องทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา แต่ไม่เป็นเช่น นั้น ข้อความในขุททกนิกาย อปทาน พุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติที่ ๑๐ ว่าด้วย บุรพจริยาของพระองค์เอง มีข้อความว่า
... เราชื่อว่าโชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ในกาลนั้นว่า จักมี โพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราได้ ประพฤติกรรมที่ทำได้ยากมาก (ทุกกรกิริยา) ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่ นั้น จึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่เราก็มิได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ เราอัน บุรพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางที่ผิด ...
จะเห็นพระกรุณาคุณที่ยิ่งใหญ่ ทรงชี้ให้เห็นว่า พระองค์แม้จะบำเพ็ญพระบารมีเพื่อ ตรัสรู้ถึง ๔ อสงไขยแสนกัป ก็ยังกระทำอกุศลกรรมซึ่งเป็นเหตุให้ทรงได้รับอกุศลวิบาก เพราะยังมีเหตุ คือ กิเลสทั้งหลาย
พระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่า ทุกคนมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่ พึ่งอาศัย ใครทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่ว ต้องได้รับผลของกรรมนั้น แม้แต่พระองค์ผู้ทรง พระบารมีเต็มเปี่ยม ในชาติที่จะตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังต้องได้รับ ผลของอกุศลกรรมที่ได้ทรงกระทำไว้แล้ว เราคงเคยได้ยินพิธีตัดกรรม เพื่อไม่ต้องได้ รับผล (ซึ่งเฉพาะกรรมไม่ดี ส่วนกรรมที่ดีไม่ต้องการตัด) จะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าเป็น ไปได้ พระองค์ผู้ทรงพระกรุณาอย่างสูงสุดคงจะบอกวิธีพวกเราแล้ว ไม่ต้องให้ไปค้นหา วิธีกันเอง แต่พระองค์ทรงแสดงธรรมเพื่อให้ผู้ประพฤติปฏิบัติตามหมดกิเลส ไม่ต้อง เกิดมารับผลของบุญและบาปอีกต่อไป
ดังนั้นพวกเราปุถุชน ผู้ที่ยังหนาแน่นด้วยกิเลส ก็ไม่ควรประมาทด้วยการฟังพระธรรมที่ พระองค์ทรงมอบให้เป็นมรดกอันสูงค่าแก่พุทธศาสนิกชน ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ไม่เป็นคนหลงผิดงมงายกับสิ่งที่ไม่มีเหตุมีผล ให้สมกับเป็นพุทธบริษัทผู้เป็นทายาท ของพระผู้มีพระภาคผู้ทรงพระคุณอันยิ่งใหญ่