ต้องเห็นโทษของความผูกโกรธ ว่าไม่มีประโยชน์
ก่อนอื่นจะต้องเห็นโทษของความผูกโกรธ ว่าไม่มีประโยชน์ เป็นอกุศล และมีความเห็นใจต่อบุคคลนั้นจริงๆ เพราะผู้นั้นได้สร้างเหตุที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นผลที่ดีย่อมมีไม่ได้ เมื่อพิจารณาอย่างนี้ความโกรธ ย่อมละคลายเบาบางลง ความเมตตาต่อบุคคลนั้น ก็จะเพิ่มมากขึ้น จนสามารถให้อภัยต่อบุคคลนั้นได้ ควรระลึกถึงกัมมสกตาของตนและของผู้อื่นว่า "ท่านโกรธแล้วจะทำอะไรเขาได้ จักอาจเพื่อยังคุณ อันมีศีลเป็นต้น ของเขาให้พินาศไปได้หรือ เขามาด้วยกรรมของเขา เขาก็จักไปด้วยกรรมของเขานั่นแหละ มิใช่หรือ?"
การผูกโกรธ จะทำให้จิตเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส มีทุคติเป็นที่ไป ดังนั้น ควรจะคลายความโกรธนั้น จึงจะเป็นการดีกับใจของเรา และควรทำให้จิตใจผ่องใส เมื่อใจผ่องใสมีสุคติเป็นที่ไป การเก็บความโกรธไว้นานๆ จะทำให้หน้าตาของเรานั้น ดูหยาบกระด้าง จะคิดจะทำอะไรก็ให้แค้น อยากจะจองเวรกันไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นการทำร้ายตนเองอย่างที่สุด และจะผูกเวรกันไปทุกภพทุกชาติ เพราะฉะนั้น ควรจะให้อภัยและรีบคลายความโกรธให้เร็วที่สุด ที่สำคัญก็ควรนั่งสมาธิทำใจให้ใสๆ เข้าไว้
สาธุ
พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญา สำหรับเรื่องของสมาธินั้น ต้องเข้าใจก่อนว่า สมาธิมี ๒ อย่าง คือ สัมมาสมาธิ และ มิจฉาสมาธิ ถ้าเป็นมิจฉาสมาธิจิต ไม่สงบ ในคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีจุดมุ่งหมายในการทำสมาธิ เพื่อให้เกิดความสงบไม่วุ่นวายใจ หรือเพื่อไม่ให้โกรธ ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมโดยละเอียด จะแยกไม่ออกระหว่าง สัมมาสมาธิและมิจฉาสมาธิ ถ้าเป็นมิจฉาสมาธิ จะมีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วยและเกิดกับโลภมูลจิต คือจิตที่พอใจในความนิ่งนั้น ผู้ที่มีปัญญาจะสามารถรู้ความต่างกันของ โลภะ โมหะ และกุศลจิต ส่วนผู้ที่ไม่รู้ความต่างกันของกุศลจิตกับอกุศลจิต ย่อมเจริญมิจฉาสมาธิ