ทบทวนเรื่องของปัจจัย [๘]

 
พุทธรักษา
วันที่  6 ธ.ค. 2552
หมายเลข  14509
อ่าน  1,286

ขอนอบน้อมแด่พระผู้พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในเรื่องของทาน ศีล ความสงบของจิต และการอบรมเจริญสติปัฏฐาน เป็นกุศลธรรมในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นสำหรับกามาวจรกุศลจิต ที่เป็นไปในทานบ้าง เป็นไปในศีลบ้าง เป็นไปในการเจริญสมถะ (คือความสงบของจิต) บ้าง หรือเป็นไปในการเจริญสติปัฏฐานบ้างบางครั้ง มีฉันทะเป็นอธิปดี บางครั้งมีวิริยะเป็นอธิปดีบางครั้ง มีปัญญาเป็นอธิปดี แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกครั้งต้องเป็น! ในชีวิตประจำวัน เช่น ในขณะที่กำลังสวดมนต์ ท่านผู้ฟังสามารถที่จะทราบได้หรือเปล่าคะว่าในขณะนั้น มีอะไรเป็น อธิปดี

ผ่านไปแล้ว และก็จะผ่านไปอีกเรื่อยๆ ถ้าสติไม่เกิด ไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็จะไม่มีการรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้นโดยถูกต้อง พอที่จะนึกออกมั้ยคะ เพราะต่อไป ก็จะเกิดอีกค่ะ ขณะที่กำลังสวดมนต์นี้นะคะ จำได้ตลอดหมดมั้ยคะแล้วแต่บุคคล เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังสวดมนต์ ขอเรียนถามว่า จำได้ตลอดหมดมั้ยคะหรือบางครั้งก็ติดๆ ที่จะต้องนึก เพราะยังไม่คล่อง ในขณะนั้นน่ะค่ะ ถ้าขณะที่กำลังนึก เพื่อที่จะให้จำได้ ในขณะที่ยังไม่คล่อง ต้องอาศัย "วิริยะ"หรือเปล่า พอที่จะสังเกต และ รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนมั้ยคะ

และบางท่าน ก็เป็นผู้ที่มีฉันทะในการสวดมนต์เสียจริงๆ สวดมนต์ได้ยาวมาก สวดมนต์ได้ตลอดหมด บางท่านสามารถที่จะสวดมหาสติปัฏฐานสูตรได้ทั้งสูตร และมีฉันทะ มีความพอใจที่จะสวดมนต์ด้วยขณะที่ท่านสวดมนต์ ท่านก็รู้สึกว่าเป็นเวลาที่ท่านมีความสงบใจ มีความสุขในขณะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า ฉันทะเป็นอธิปดี แต่ท่านอื่น บางท่านสวดมนต์ได้ไม่ยาวเลยหมายความว่า มีฉันทะ หรือไม่มีฉันทะในการสวดมนต์ คือ สวดมนต์ได้เท่าที่จะสวดได้และบางครั้ง ก็ต้องอาศัย "วิริยะ" เพราะว่า สวดมนต์ก็ไม่คล่อง และต้องนึกในขณะนั้น ก็จะเห็น "ลักษณะของวิริยะ" ว่าต้องอาศัยวิริยะ การสวดมนต์จึงจะสำเร็จลงไปได้ แต่บางท่าน อาจจะสวดมนต์น้อย ก็จริง แต่ว่าสวดมนต์ด้วยความซาบซึ้ง และเข้าใจในพระพุทธคุณในบทสวดมนต์นั้นขณะนั้น ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ซาบซึ้งจริงๆ หมายความว่าในขณะนั้น "วิมังสะ" หรือ "ปัญญา" เป็นอธิปดี (คือ ปัญญา เป็น สหชาตาธิปติปัจจัย) เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวัน แม้สักเรื่องหนึ่ง เช่น การสวดมนต์ ถ้าท่านสามารถมีสติ ระลึกรู้ในขณะนั้น ก็จะทราบได้ว่า เป็นกุศลจิตประเภทไหนและ กุศลจิตนั้นประกอบด้วยปัญญา หรือว่าไม่ประกอบด้วยปัญญา และมีสภาพธรรมใดเป็นอธิปดี ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ทั้งนั้น

หรือบางท่าน ก็ฟังธรรมะ แต่ก็เพียงฟังขณะนั้น เป็นกุศลประเภทไหน มีศรัทธาเป็นกุศลจิตที่จะฟังแต่ว่าเป็นญาณวิปปยุต คือ ไม่ประกอบด้วยปัญญา แต่ในขณะใดก็ตาม ที่ฟังแล้วพิจารณา แล้วก็เข้าใจ ในขณะนั้น ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาเจตสิก เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตตจิต แล้วแต่ว่า ในขณะนั้น มีฉันทะเป็นอธิปดี หรือว่า มีวิริยะเป็นอธิปดี ถ้าขณะนั้น มีฉันทะ คือ ความพอใจที่จะฟัง เป็นอธิปดีหมายความว่า ในขณะนั้น จิต และ เจตสิกอื่น ที่เกิดร่วมด้วยเป็นอธิปติปัจจัยไม่ได้ คือ เป็นหัวหน้าเป็นใหญ่ในขณะนั้นไม่ได้เพราะเหตุว่า ขณะนั้นมีฉันทะเป็นอธิปติแล้ว นอกจากชีวิตของท่านเองแล้วก็ยังมีชีวิตของมิตรสหายที่สนใจธรรมะด้วยกัน หรือว่าญาติพี่น้องทั่วๆ ไป ก็จะเห็นความต่างกันของฉันทะในกุศลจิตของแต่ละบุคคลเช่น บางท่าน มีฉันทะที่จะสร้างโรงเรียน บางท่าน มีฉันทะที่จะสร้างโรงพยาบาล บางท่าน มีฉันทะที่จะถวายอาหารบิณฑบาตรบางท่าน ก็มีฉันทะที่จะศึกษาธรรมะ อบรมเจริญปัญญา

เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้นะคะว่า ในชีวิตประจำวันของแต่ะบุคคลย่อมมี "ฉันทะ" แตกต่างกันไป ตามการสั่งสม แต่ว่า ขณะใดที่ท่านไม่ได้มีฉันทะที่จะกระทำกุศลกรรมอย่างนั้น แต่ท่านก็พลอยกระทำกุศลกรรมนั้นไปด้วย ก็จะรู้ได้ว่า ในขณะนั้น ฉันทะไม่ได้เป็นอธิปดี คือ ไม่เป็นอธิปติปัจจัย เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ทุกท่านทราบได้ใช่ไหม ว่า กุศลธรรมขณะใด มีฉันทะเป็นอธิปดี หรือในขณะใด มีวิริยะเป็นอธิปดี ขณะใดมีปัญญาเป็นอธิปดี

ข้อความบางตอนจากเทปชุด ปัฏฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ ๖

โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขออนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
wannee.s
วันที่ 7 ธ.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
pornpaon
วันที่ 7 ธ.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ