อินเดีย ... อีกแล้ว 19 เขาคิชฌกูฏ
เขาคิชฌกูฏ
(ภาพพระคันธกุฎี)
เมื่อไปถึงเขาคิชฌกูฏ ก็ต้องแปลกใจที่เห็นชาวอินเดียมากมายล้วนมีฐานะดี คือ แต่ง กายสวยงามทั้งชายหญิงเด็กผู้ใหญ่มายืนรอเข้าแถวซื้อบัตรนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปบน ภูเขาที่อยู่ใกล้กับเขาคิชฌกูฎ ตอนแรกคิดว่าเป็นวัดฮินดู แต่ปรากฏว่าเป็นวัดญี่ปุ่น แต่ เขาพากันมาเที่ยวคล้ายๆ กับสวนสนุก เพิ่งเห็นชาวอินเดียที่ดูดีเป็นจำนวนมากวันนี้เอง ทุกคนหน้าตายิ้มแย้มเป็นมิตร ดูมีความสุข ผิดกับทุกครั้งที่พบแต่ขอทาน คนขายของ ที่ดูทุกข์ยาก เศร้าหมอง จนคิดไปว่า ประเทศอินเดียยากจน แต่เรามองเห็นแค่หางช้าง เพิ่งเห็นหัวช้างวันนี้เอง แต่ก็ยังไม่ได้เห็นช้างทั้งตัวอยู่ดี
มาคราวนี้คงดูชรากว่าครั้งก่อนๆ (จิตยังไม่แก่เหมือนเดิม) มีผู้มาถามว่าจะนั่งเสลี่ยง หรือไม่ เมื่อเราปฏิเสธก็จะช่วยกันดูแล ซักถามว่าไหวไหมอยู่ตลอดเวลา เราเลยซื้อไม้ ไผ่ 1 อัน ราคา 10 รูปี เพื่อยันตัวเวลาลงเขา จะได้ไม่ต้องเกร็งขามาก ซึ่งก็ได้ผล ไม่ ปวดจนขาสั่นเหมือนครั้งก่อน และค้นพบว่า ถ้ามีโสมนัส คือ ความสุขใจ ที่อาจจะเกิด จากกุศลจิตหรือโลภะ ก็ทำให้เพลิดเพลินไม่เหนื่อยได้เหมือนกัน อย่างไปคราวนี้เดิน สวนทางกับคนไทยที่กำลังลงเขามา แล้วก็อนุโมทนาในกุศลจิตของกันและกัน ทักทายกันด้วยไมตรีจิต ยิ้มแย้มให้กัน บางคนก็เรียกชื่อ รู้สึกแปลกใจเหมือนกันว่า รู้จัก ได้อย่างไร ไม่น่าเชื่อเลยว่า พิมพ์หนังสือออกมาแค่ ๒ เล่ม ก็จะเป็นที่รู้จักกันทั่วไป อย่างนี้ เผอิญเขาเรียกชื่อสามีด้วย จึงนึกได้ว่า เพราะเราติดป้ายชื่อแสดงตนไว้นั่นเอง ก็ขนาดคนมาด้วยกันยังไม่รู้จักเลย แล้วยังอุตส่าห์คิดว่า ตัวเองดังเสียแล้ว เห็นหรือยัง ว่า ความคิดนึกนั้นเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย คือ การสะสม ของแต่ละคน จึงไม่เหมือนกันเลย และส่วนใหญ่จะต่างกับความเป็นจริงด้วย
เขาคิชฌกูฎเป็นภูเขาที่ลาดชันพอประมาณ ระยะทางประมาณ 750 เมตร มีรูปร่าง เหมือนหัวแร้ง บนยอดเขาเป็นที่ตั้งพระคันธกุฎีของพระผู้มีพระภาคและบริเวณโดยรอบ เป็นที่อยู่ของท่านพระอานนท์ ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระ มหากัสสปะ ท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระปุณมันตานีบุตร และท่านพระอุบาลี เป็นต้น
(ภาพกุฎิท่านพระอานนท์)