อินเดีย ... อีกแล้ว 20 ถ้ำสุกรขาตาและถ้ำท่านพระโมคคัลลานะ

 
kanchana.c
วันที่  11 ธ.ค. 2552
หมายเลข  14639
อ่าน  3,785

ถ้ำสุกรขาตาและถ้ำท่านพระโมคคัลลานะ

ถ้ำสุกรขาตาอยู่ระหว่างทางขึ้นเขาคิชฌกูฏ เป็นถ้ำที่ท่านพระสารีบุตรบรรลุพระอรหัต ขณะที่ยืนถวายงานพัดแด่พระผู้มีพระภาค ที่ทรงแสดงเวทนาปริคคหสูตรโปรดทีฆนขะ หลานของท่านในวันเพ็ญเดือนมาฆะ หลังจากที่ท่านบรรลุโสดาบันเมื่อได้ฟังธรรม ย่อๆ จากท่านพระอัสสชิว่า “ธรรมใดมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรม เหล่านั้น และ เหตุแห่งความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้” ในขณะที่ท่านยังเป็นอุปติสสปริพาชก และเมื่อท่านเป็นพระโสดาบันแล้วก็ไปบอก โกลิตตปริพาชก (ต่อมา คือ ท่านพระมหาโมคคัลลานะ) ซึ่งเป็นสหายสนิทของท่าน ซึ่งเมื่อได้ฟังธรรมสั้นๆ นี้แล้ว ก็บรรลุโสดาบันเช่นเดียวกัน ท่านทั้ง ๒ และบริวาร ๒๕๐ คน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคที่พระวิหารเวฬุวันขอบวชด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา เมื่อ ได้ฟังธรรม บริวารของท่านทั้งหมดบรรลุพระอรหัต เว้นท่านทั้งสองที่ยังไม่บรรลุ

ถ้ำท่านพระมหาโมคคัลลานะอยู่ใกล้ๆ กับถ้ำสุกรขาตา แต่ท่านไม่ได้บรรลุพระอรหันต์ที่ ถ้ำนี้ เมื่อบวชแล้วท่านได้ไปที่หมู่บ้านกัลลวาละ ในแคว้นมคธ ท่านเกิดโงกง่วง พระผู้มี พระภาคทรงแสดงอุบายให้หายง่วง ๘ ประการ คือ

๑. เมื่อเธอมีสัญญาอย่างใดแล้ว เกิดความง่วงขึ้น เธอจงทำไว้ในใจซึ่งสัญญาอย่างนั้น ให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

๒. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรตรึกตรองถึงธรรมที่ได้เรียนมาแล้ว ได้ฟังมาแล้วให้มาก จะ เป็นเหตุให้ละความง่วงได้

๓. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสาธยายธรรมที่ได้เรียนได้ฟังมาแล้วให้มากจะเป็นเหตุให้ละ ความง่วงได้

๔. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรยอนช่วงหูทั้งสองข้าง และลูบตัวด้วยฝ่ายมือจะเป็นเหตุให้ละ ความง่วงได้

๕. ถ้ายังละไม่ได้ เธอจงลุกขึ้นแล้วลูบนัยน์ตา ลูบหน้าด้วยน้ำเหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาว จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

๖. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรทำไว้ในใจถึงอาโลกสัญญา ถือ กำหนดความสว่างไว้ในใจ เหมือนกัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำใจให้เปิด ให้สว่าง จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

๗. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรเดินจงกรมสำรวมอินทรีย์ มีจิตใจไม่คิดไปภายนอก จะเป็น เหตุให้ละความง่วงได้

๘. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสำเร็จสีหไสยาสน์ นอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าให้เลื่อมกัน มี สติสัมปชัญญะ หมายใจว่าจะลุกขึ้นเป็นนิตย์ เมื่อตื่นแล้วควรรีบลุกขึ้นด้วยตั้งใจว่า เรา จะไม่ประกอบความสุขในการนอนและการเคลิ้มหลับอีกจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

พระพุทธองค์ ตรัสสอนอุบายเพื่อบรรเทาความง่วงโดยลำดับจนที่สุดถ้ายังไม่หายง่วงก็ ให้นอน แต่ให้นอนอย่างมีสติ และเมื่อได้ฟังธาตุกัมมัฏฐาน ท่านก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ หลังจากบวชได้ ๗ วัน ก่อนท่านพระสารีบุตรซึ่งบรรลุพระอรหันต์หลังจากบวชได้ ๑๕ วัน ท่านปรินิพพานด้วยการถูกโจรทุบ ทั้งๆ ที่ท่านมีฤทธิ์สามารถจะเหาะได้ แต่ท่าน พิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นกรรมของท่านที่เคยถูกภรรยาที่มีจิตใจชั่วร้ายยุยงให้ท่านนำ บิดามารดาผู้ตาบอดไปทิ้งในป่าจนตาย ท่านพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เป็นเลิศทางปัญญา และท่านพระมหา โมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย ผู้เป็นเลิศทางฤทธิ์ เพราะท่านบำเพ็ญบารมีถึง ๑ อสงไขยแสนกัป เพื่อตั้งความปรารถนาเป็นคู่อัครสาวก

ท่านพระสารีบุตรเป็นธรรมเสนาบดี โดยพระผู้มีพระภาคทรงเป็นพระธรรมราชา ผู้หมุน กงล้อของธรรมจักรให้เคลื่อนไป ท่านมีคุณธรรมมากมายที่ควรจะถือเป็นแบบอย่างใน การใช้ชีวิต เช่น ท่านมีความกตัญญูสูงมาก เมื่อท่านได้ฟังธรรมจากท่านพระอัสสชิแล้ว ท่านก็กลับไปชวนสญชัยปริพาชก อาจารย์ของท่านให้มาเฝ้าพระผู้มีพระภาคด้วย แต่ สญชัยปริพาชกปฏิเสธ โดยถามท่านว่า “คนฉลาดหรือคนโง่มากกว่ากัน” เมื่อท่านตอบ ว่า “คนโง่มากกว่า” อาจารย์ของท่านจึงตอบว่า ขออยู่กับคนโง่ซึ่งเป็นคนส่วนมากดี กว่า เพราะไม่สามารถเป็นลูกศิษย์ใครได้ เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบเรื่อง จึงตรัสว่า “ชนเหล่าใดมีปกติรู้สิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ และรู้สิ่งที่เป็นสาระว่า ไม่เป็นสาระ ชนเหล่านั้นมีความดำริผิดเป็นโคจร ย่อมไม่ประสบสิ่งอันเป็นสาระ”

นอกจากนั้นท่านยังเป็นอ่อนน้อมอย่างยิ่ง จนเปรียบตัวเองเหมือนผ้าเช็ดธุลี ที่ใครๆ ก็ สามารถจะเหยียบย่ำอย่างไรก็ได้ ท่านไม่มีความโกรธ ความไม่พอใจแม้แต่นิดเดียว

ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ ผู้เป็นพระธรรมเสนาบดีที่ยิ่งด้วยปัญญา และผู้เป็นเลิศทางฤทธิ์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Jans
วันที่ 13 ธ.ค. 2552

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
คุณ
วันที่ 15 ธ.ค. 2552

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
panasda
วันที่ 15 ธ.ค. 2552

ขอขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
วิริยะ
วันที่ 17 ธ.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jangthi
วันที่ 20 ธ.ค. 2552

“ ชนเหล่าใดมีปกติรู้สิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ และ รู้สิ่งที่เป็นสาระว่า ไม่เป็นสาระชนเหล่านั้นมีความดำริผิดเป็นโคจร ย่อมไม่ประสบสิ่งอันเป็นสาระ”

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 20 ธ.ค. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคผู้ปฏิบัติดี

ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง

ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์

ท่านพระสารีบุตรผู้เป็นพระธรรมเสนาบดีที่ยิ่งด้วยปัญญา

และ ท่านพระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นเลิศทางฤทธิ์

กราบอนุโมทนาพี่กาญจนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
กระจ่าง
วันที่ 15 ต.ค. 2553
ขอขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ