ศีล และสมาธิ เป็นสิ่งที่ต้องมีก่อนใช่ไหมครับ
การที่จะให้เกิดปัญญาได้ ตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา เราต้องรักษาศีลให้ได้ก่อน เมื่อศีลบริสุทธิจึงพยายามทำสมาธิให้ได้ ปัญญาก็จะเกิดขึ้นได้เองใช่ไหมครับ เหมือนอย่างที่กล่าวว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ทราบว่าผมหรือคนทั่วๆ ไป เข้าใจอย่างนี้ถูกหรือไม่ครับ กรุณาแนะนำด้วย อนุโมทนา
ในคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงการเกิดขึ้นของปัญญา ว่าปัญญาเกิดจากการฟังก็มี ปัญญาเกิดจากการคิดพิจารณาก็มี ปัญญาเกิดจากภาวนาก็มี ในสมัยครั้งพุทธกาล บางท่านขณะที่นั่งฟังธรรมเทศนา แล้วบรรลุเป็นพระอริยะบุคคลก็มีเป็นจำนวนมาก บางท่านหลังจากฟังธรรมแล้วเพียรอบรมเจริญสมณะธรรมไม่นานก็บรรลุก็มี บางท่านต้องใช้เวลาเพียรศึกษา และอบรมทั้งสมถและวิปัสสนาเป็นเวลานานจึงบรรลุก็มี อีกอย่างหนึ่ง ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นชื่อของไตรสิกขาที่เป็นอริยมรรคมีองค์แปด ซึ่งในขณะที่อบรมเจริญสติปัฏฐานในชีวิตประจำวัน ในขณะนั้นมีองค์ของศีลด้วย องค์ของสมาธิก็มี องค์ของปัญญาก็มี เกิดร่วมกันในขณะเดียวกัน ผู้ที่รักษาศีล แต่ขาดปัญญาความเข้าใจในหนทาง ศีลนั้นก็ไม่เป็นปัจจัยแก่สมาธิและปัญญา หรือผู้ที่มีศีลและมีสมาธิเป็นฌานขั้นต่างๆ เป็นเพียงความสงบของจิตเท่านั้น สมาธินี้ไม่ทำให้ปัญญารู้นามรูปแต่อย่างใด
ฉะนั้น สมาธิที่เป็นปัจจัยให้เกิดปัญญารู้นามรูปตามเป็นจริง คือ สัมมาสมาธิที่เกิดในองค์มรรคเท่านั้นไม่ใช่สมาธิทั่วไป และเมื่อจิตเกิดขึ้นทุกขณะ มีสมาธิเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง จึงไม่ต้องห่วงเรื่องสมาธิ ควรห่วงเรื่องความเข้าใจที่ตรง และถูกต้องตามพระธรรมคำสอนดีกว่า สำหรับศีล เป็นเรื่องของผู้ที่เห็นโทษของการทุศีล ผู้ศึกษาพระธรรมเมื่อเข้าใจความจริงย่อมเห็นคุณของกุศลทุกประการย่อมเป็นผู้ค่อยๆ งดเว้นจากทุจริตทั้งปวงตามปัญญาที่เห็นจริง สรุป คือ ในเบื้องต้นควรศึกษาพระธรรมคำสอนให้เข้าใจก่อน เมื่อเข้าใจมากขึ้นปัญญาย่อมทำกิจของปัญญาโดยการมีศีล อบรมสมถภาวนา และสติปัฏฐานในชีวิตประจำวัน จึงเป็นผู้ชื่อว่าอบรมศีล สมาธิ ปัญญา ตามหลักคำสอนที่ถูกต้อง
ผู้ที่มีปัญญาแล้ว ผู้นั้นย่อมมีทั้งศีลและสมาธิ แต่ผู้ที่มีศีลและ/หรือสมาธิ ผู้นั้นไม่แน่ว่าต้องมีปัญญาเสมอไป
ไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา) หมายถึงอริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่
ศีล หมายถึง สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
สมาธิ หมายถึง สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
ปัญญา หมายถึง สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ
ขณะที่สติปัฏฐานเกิด ขณะนั้นเป็นการรู้ตรงตามสภาพธรรมนั้นๆ จริงๆ ไม่มีสัตว์ บุคคลตัวตน จึงเป็นทั้งอธิศีล อธิจิต (สมาธิ) และอธิปัญญา
ยากนะคะ กว่าสติปัฏฐานจะเกิดได้ เพราะเราอยู่ในโลกของบัญญัติมานานมากและไม่เฉพาะแต่ในชาตินี้เท่านั้น อย่างวันนี้พอลืมตาตื่นก็มีบัญญัติเป็นอารมณ์อีกแล้วจนกระทั่งเข้านอน เนื่องจากปัญญาที่สะสมมาน้อย ก็ย่อมไม่มีกำลังพอที่จะให้สติระลึกได้ระลึกบ่อยๆ เมื่อรู้อย่างนี้ก็ควรเจริญเหตุ โดยเริ่มจากการฟัง การศึกษา การพิจารณา การสอบถามเทียบเคียง และการทรงไว้ซึ่งธรรมนั้นๆ และควรเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐานค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน