อินเดีย ... อีกแล้ว 29 กุสินารา

 
kanchana.c
วันที่  17 ธ.ค. 2552
หมายเลข  14762
อ่าน  3,662

กุสินารา

จากกรุงเวสาลี ย้อนกลับมาที่ปัฏนะ เพื่อเดินทางไปกุสินารา แวะทานอาหารกลางวันที่ ภัตตาคารอาหารจีน ที่บริหารโดยชาวอินเดีย (เดาเอา เพราะเห็นแต่คนอินเดียในร้าน) ชื่อ Zen Chinese Restaurant เป็นของใหม่ที่เห็นในอินเดีย จึงอดเล่าไม่ได้ เป็นตึก ชั้นเดียว ตั้งอยู่โดดเดี่ยว คือ ไม่มีตึกอื่นๆ อยู่ใกล้ๆ เมื่อลงจากรถนั้น มีพายุฝุ่นพัดแรง มาก ทางร้านใช้ผ้าม่านปิดที่ประตูกันฝุ่น แต่เมื่อเข้าไปก็ไม่ผิดหวัง ดูสะอาดกว่าที่คิด ห้องน้ำก็เป็นชักโครก มีอ่างล้างมือให้ล้างด้วย

จากภัตตาคารเดินทางรวดเดียวไปถึงกุสินาราก็ค่ำพอดี ได้พักที่โรงแรมนิกโก้โลตัส ที่เคยมาพักเมื่อ ๕ ปีก่อน โรงแรมนี้ห้องพักใหญ่มาก และก็ดูสะอาดดี เมื่อรับประทาน อาหารเย็นแล้ว ก็เดินไปวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ที่อยู่ใกล้ๆ กัน ในตอนกลางคืน พระ เจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุนั้นงดงามด้วยแสงไฟที่เปิดสว่างประดับไว้รอบ และยัง งามด้วยแสงจันทร์ที่ใกล้จะเต็มดวง พวกเรามาตรงกับเวลาที่พระสงฆ์กำลังสวดมนต์ทำ วัตรเย็น จึงไปทำบุญร่วมสร้างโรงพยาบาลกับแม่ชีแทน

จาก “หนังสือภาพ ตามรอยบาทพระศาสดา” กล่าวไว้ว่า กรุงกุสินารา เป็นเมืองหลวงแห่งที่ ๒ ของแคว้นมัลละ ต่อจากเมืองปาวา โดยมีเจ้า มัลละเป็นกษัตริย์ปกครอง

หลังจากพระผู้มีพระภาคทรงปลงพระชนมายุสังขารที่ปาวาลเจดีย์ กรุงเวสาลีแล้ว ก็ ทรงเสด็จผ่านไปทางภัณฑคาม หัตถิคาม อัมพคาม ชัมพุคาม โภคนคร แคว้นวัชชี ทรง แสดงมหาปเทส (หลักอ้างอิง) ๔ อย่างว่า “พวกเธออย่าพึงเชื่อหรือคัดค้านเพราะได้ฟัง จากพระโอษฐ์ของพระศาสดา เพราะได้ฟังจากหมู่สงฆ์ เพราะได้ฟังจากพระเถระผู้เป็น พหูสูตหลายรูป หรือเพราะได้ฟังจากพระเถระผู้เป็นพหูสูตบางรูป ควรตรวจสอบเทียบ เคียงกับพระสูตรและพระวินัยก่อน”

เมื่อเสด็จถึงกรุงปาวา แคว้นมัลละ ได้ประทับอยู่ ณ อัมพวัน สวนมะม่วงของนายจุนทะ กัมมารบุตร ทรงรับนิมนต์เสวยพระกระยาหารเช้า ชื่อ สุกรมัททวะที่เรือนของนายจุนทะ แล้ว รับสั่งให้ฝังส่วนที่เหลือ ให้หมู่ภิกษุฉันภัตตาหารชนิดอื่น หลังจากเสวยแล้วเกิด อาพาธอย่างแรงด้วยโรคโลหิตปักขันทิกาพาธ มีเวทนากล้าจวนจะปรินิพพาน แต่ทรงมี พระสติสัมปชัญญะอดกลั้นเวทนาไว้ได้

พระผู้มีพระภาคเสด็จต่อไปทางกรุงกุสินารา ระหว่างทาง ทรงแวะพักที่โคนไม้ต้นหนึ่ง รับสั่งกับพระอานนท์ถึง ๓ ครั้งว่า “กระหายน้ำ” ท่านพระอานนท์จึงนำบาตรไปตักน้ำแม้ จะดูว่าขุ่น เพราะเกวียนพึงผ่านไป ก็กลับใสสะอาดเป็นที่ประหลาดใจยิ่งนัก ซึ่งพระผู้มี พระภาคทรงแสดงบุรพกรรมของพระองค์ที่ทรงห้ามไม่ให้โคกินน้ำที่คิดว่าขุ่น

ต่อมานายปุกกุสมัลลบุตรถวายผ้าเนื้อทองสิงคีคู่หนึ่งแด่พระผู้มีพระภาค เมื่อท่านพระ อานนท์น้อมผ้าคู่นั้นเข้าไปทาบกับพระวรกายของพระองค์ ทำให้พระฉวีงดงามผ่องใส ยิ่งนัก พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “พระวรกายของตถาคตย่อมบริสุทธิ์ผุดผ่อง ๒ คราว คือ คราวตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และคราวเสด็จดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปา ทิเสสนิพพาน”

พระผู้มีพระภาคเสด็จผ่านแม่น้ำกกุธานที ให้พระจุนทกะปูผ้าสังฆาฏิ ๔ ชั้นแล้ว เสด็จ สีหไสยาสน์โดยตั้งพระทัยว่าจะลุกขึ้น รับสั่งกับท่านพระอานนท์เรื่องอาหารที่นาง สุชาดาถวายก่อนตรัสรู้และนายจุนทะถวายก่อนปรินิพพานว่า มีอานิสงส์เสมอกัน แล้ว เสด็จข้ามแม่น้ำหิรัญวดีไปสู่สาลวโนทยาน กรุงกุสินารา สำเร็จอนุฏฐานไสยา คือ นอน โดยจะไม่ลุกขึ้นอีก ระหว่างไม้สาละคู่ โดยหันพระเศียรไปทางทิศเหนือ ตรัสปัจฉิม วาจาว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไป เป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด”

เมื่อได้ทราบเรื่องราวการปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคแล้ว ตอนเช้าก็เดินทางไป นมัสการสถูปวิหารปรินิพพาน ในสาลวโนทยาน ในตอนเช้าอย่างนี้พบชาวพุทธ ศรีลังกามานมัสการอย่างคับคั่ง จนเมื่อหาที่นั่งร่มๆ รอบพระเจดีย์เพื่อสนทนาธรรมนั้น ต้องสละให้ชาวศรีลังกาสวดมนต์แทน เพราะเขาเสียงดังกว่า พวกเราจึงเดินเวียน เทียนประทักษิณรอบพระเจดีย์ที่เป็นที่ปรินิพพานแทน

จากนั้นก็ไปนมัสการที่มกุฎพันธนเจดีย์ สถานที่ถวายพระเพลิงพระสรีระของพระ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

และไปชมบ้านนายจุนทะผู้ถวายอาหารมื้อสุดท้าย ซึ่งอยู่ไกลไปอีก ๒๐ กม. เดี๋ยวนี้ กำลังก่อสร้างถนนสายใหม่ เป็นคอนกรีตใหญ่กว่าเดิม ต่อไปการเดินทางคงสะดวกและ เร็วกว่านี้มาก แต่รถตู้ของเราก็พาไปถนนสายเก่าที่มีตลาดขายของมากมาย ดูเจริญ กว่าเมื่อ ๕ ปีก่อนมาก

บ้านนายจุนทะที่เห็นเหลือเพียงซากอิฐบนเนินดินสูงใหญ่ แสดงว่า คงเป็นคนมีฐานะ และมีศรัทธามากด้วย จึงสามารถเลี้ยงพระภิกษุสงฆ์จำนวนมากมีพระผู้มีพระภาคเป็น ประมุขได้ ขอกราบอนุโมทนาในกุศลอันยิ่งใหญ่ที่ท่านได้ทำแล้วด้วย ไม่ทราบว่ามี กล่าวไว้ต่อไปหรือไม่ว่า ท่านได้สำเร็จมรรคผลอย่างไรหรือไม่

สงสัยตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมอยากจะรู้แต่เรื่องราวของคนนั้นคนนี้มากมายอย่างนี้ เมื่อไรถึงอยากจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏบ้าง คงตอบได้ว่า เมื่อปัญญา มีกำลังมากกว่านี้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
วิริยะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2552

ขอเรียนถามค่ะว่า หลังจากที่พระพุทธองค์เสวยเนื้อที่นายจุนทะถวายแล้วเกิดอาพาธด้วยโรคโลหิตปักขันธิกาพาธ อยากทราบว่าโรคนี้คือมีอาการอย่างไร และพระพุทธองค์ทรงมีเวทนากล้าแต่ ทรงมีพระสติสัมปชัญญะอดกลั้นเวทนาไว้ได้ เวทนากล้าที่กล่าวนั้น คือความเจ็บปวดใช่หรือไม่

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prachern.s
วันที่ 18 ธ.ค. 2552

โรคโลหิตปักขันธิกาพาธ คือการถ่ายเป็นเลือด

เวทนากล้า ก็คือความเจ็บปวดครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
วิริยะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
panasda
วันที่ 18 ธ.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
hadezz
วันที่ 18 ธ.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Jans
วันที่ 20 ธ.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
กระจ่าง
วันที่ 15 ต.ค. 2553
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ