อินเดีย ... อีกแล้ว 30 ลุมพินี
ลุมพินี
หลังรับประทานอาหารกลางวันที่โรงแรมนิกโก้ โลตัส กุสินาราแล้ว ก็เดินทางไป ลุมพินี ประเทศเนปาล ระยะทาง ๑๖๕ กม. ใช้เวลา ๖ ชั่วโมง
ตอนนี้ได้นั่งรถตู้เป็นการถาวร ผู้ร่วมทางที่อายุน้อยๆ อยากจะอยู่ในรถบัสใหญ่ เพราะ จะได้คุยสังสรรค์กับเพื่อนร่วมทาง เราผู้สูงวัยเลยได้นั่งรถตู้ ก็เหมาะสมดี เพราะส่วน ใหญ่จะนั่งหลับ ตอนนี้สนิทสนมกับคนขับชาวมุสลิมชื่อ อาบีมดี
อาบีมพาออกจากกุสินารา มาจอดที่สถานที่หนึ่ง บอกให้เราลงได้แล้ว เราก็จะไม่ลง คิดว่าน่าจะไปคอยรถบัสใหญ่ที่ด่านซึ่งห่างออกไปอีก ๓ กม. จะได้เดินดูของขายข้าง ทาง คิดว่าคงเหมือนด่านที่แม่สอด เมื่อมองไปที่ป้ายที่เขียนภาษาไทย จึงได้รู้ว่า นี่คือ สำนักสงฆ์ ๙๖๐ สาขาหนึ่งของวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ หน้าวัดแคบๆ จนดูไม่ ออกว่าเป็นวัดไทย เคยอ่านหนังสือพบว่า ท่านสร้างไว้กึ่งกลางระหว่างกุสินารากับ ลุมพินี เพื่อให้บริการห้องสุขาแก่ชาวไทย เมื่อลงไปแล้วก็ไม่ผิดหวังเลย ได้เข้าห้อง สุขาที่เป็นสุขาจริงๆ ใหญ่โตสวยงาม สะอาด และยังบริการเครื่องดื่ม พร้อมกับโรตีทอด ร้อนๆ ด้วย ถ้าไม่ได้แวะลง คงจะเสียดายแย่ เห็นหน้าวัดแคบๆ อย่างนี้ แต่มีเนื้อที่ลึกไป ข้างหลังมาก ได้ทำบุญซื้อที่ดินถวายวัดไป ๑ ตารางคืบ เป็นเงินไทย ๑,๐๐๐ บาท โดย เริ่มตั้งแต่ ๑ ตารางนิ้ว ๑๐๐ บาท ๑ ตารางคืบ ๑,๐๐๐ บาท หนึ่งตารางวา ๑๐,๐๐๐ บาท ไปเรื่อยๆ
เมื่อรถเดินทางไปถึงด่าน มีเจ้าหน้าที่เรียกให้จอดและถามคนขับเกือบตลอดทางว่า อะไรไม่รู้ แต่พอคนขับตอบว่า “Thailand” ก็จะโบกมือให้ผ่านทุกครั้ง รู้สึกว่า คำว่า Thailand ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ที่ด่านนี้
เมื่อไปถึงด่านก็มืดแล้ว ภาพที่วาดไว้ว่า จะเหมือนด่านที่แม่สอด ที่สามารถลงไปหาซื้อ หรือเดินเล่นได้นั้นผิดหมด เพราะมีแต่รถจอดคอยจะไปเนปาลมากมาย ทั้งรถบัส รถ บรรทุก และรถตู้อย่างเรา ที่ด่านก็มืดสลัว แม้อย่างนั้นก็ยังเห็นฝุ่นเต็มไปหมด ที่คิดว่า น่าจะออกไปเดินชมบ้านเมืองนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย กว่าจะผ่านขั้นตอนก็ใช้ เวลาเป็นชั่วโมง เมื่อข้ามไปแล้ว รถก็พาขับไปในเมือง ซึ่งก็คงจะไม่ไกลนัก คิดว่า เนปาลคงจะสะอาดกว่าอินเดีย แต่ระหว่างทางก็เห็นชาวเนปาลใช้ถนนเป็นห้องสุขา เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเวลาเดิน ก็ต้องระวังกับระเบิดเหมือนเดิม
กว่าจะถึงโรงแรม New Crystal ก็ประมาณ ๒ ทุ่ม รีบเข้าห้องอาหารรับประทานมื้เย็น ก่อน อาหารที่นี้รสชาติเหมือนอาหารไทยมาก มีส้มตำด้วย
วันรุ่งขึ้น เป็นวันที่ ๔ ของการเดินทาง (ทำไมถึงรู้สึกว่าอยู่อินเดียมานานแล้ว) รีบตื่น แต่เช้า อยากจะแวะไปดูตลาด เมื่อคืนนี้ไม่เห็นอะไรมากนัก เมื่อทานอาหารเช้าแล้ว ออกมานอกโรงแรม จึงได้รู้ว่า ลุมพินีก็อยู่ตรงหน้าโรงแรมนั่นเอง พบชาวเนปาลเดิน ทางมาลุมพินีกันมากมาย มากันเป็นรถบัส ส่วนมากเป็นเด็กวัยรุ่น ดูเหมือนเป็นนักเรียน อาจจะมาทัศนศึกษาก็ได้ คิดเอาเองว่าคงไม่ใช่ชาวพุทธ
เพราะโรงแรมอยู่หน้าลุมพินีนี่เอง จึงมีชาวต่างชาติทั้งฝรั่ง เกาหลี เวียตนามมาพักกัน มาก
พวกเราต้องเดินไปจากประตูทางเข้าเกือบ ๑ กิโลเมตร เพื่อไปที่ลุมพินี สถานที่ ประสูติ บางคนอาจจะนั่งรถสามล้อถีบไปก็ได้ แต่ห้ามรถยนต์วิ่ง ซึ่งก็ดีมาก ไม่ทำลาย สิ่งแวดล้อม
ข้อความจากหนังสือ “หนังสือภาพ ตามรอยบาทพระศาสดา” เขียนไว้ว่า
... ลุมพินีวัน เป็นสถานที่ประสูติของพระโพธิสัตว์ ซึ่งคือเจ้าชายสิทธัตถะ ตั้งอยู่ ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะ เป็นราชอุทยานของกษัตริย์ทั้ง ๒ วงศ์ คือ ศากย วงศ์และโกลิยวงศ์
เจ้าชายสิทธัตถะเป็นโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะแห่งศากยวงศ์ กรุงกบิลพัสดุ์ และ พระนางสิริมหามายาเทวีแห่งโกลิยวงศ์ กรุงเทวทหะ ซึ่งมีพรมแดนติดกัน เมื่อใกล้วัน ประสูติ พระมารดาเสด็จสู่กรุงเทวทหะเพื่อไปประสูติที่เมืองของตนตามประเพณีนิยม พอเสด็จถึงลุมพินีวัน ซึ่งห่างจากกรุงกบิลพัสดุ์ ๒๗ กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทวทหะ ๕๔ กิโลเมตร ก็ประสูติพระโอรส
พระโพธิสัตว์ประสูติด้วยพระวรกายที่สะอาดหมดจด ผุดผ่องดุจแก้วมณี ไม่แปดเปื้อน ด้วยสิ่งปฏิกูลต่างๆ ทั้งประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ พอประสูติได้ครู่หนึ่ง ก็ประทับยืนอย่างมั่นคงด้วยพระบาท ๒ ข้าง ทรงผินพระพักตร์ไปทางทิศเหนือแล้ว เสด็จย่างพระบาทไป ๗ ก้าว ทอดพระเนตรดูทิศต่างๆ แล้วเปล่งอาสภวาจาอย่าง องอาจว่า
“เราเป็นผู้เลิศที่สุดในโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ เราจักไม่เกิดอีก” ...
ที่ลุมพินีเข้มงวดเรื่องกล้องถ่ายรูปมาก ถ้านำเข้าไปต้องเสียเงิน ๕๐ รูปี หรือ ๑ ยูเอส ดอลลาร์ น่าชื่นใจที่มีผู้คนมากราบนมัสการมากมาย ตรงเสาศิลาจารึกพระเจ้าอโศก สถานที่ที่พระโพธิสัตว์เสด็จไปถึงแล้วเปล่งอาสภิวาจานั้น มีชาวเกาหลีไปจองที่ สำหรับทำพิธีบวช พวกเราจึงพากันไปเวียนเทียนประทักษิณรอบมหามายาเทวีวิหาร สถานที่ประสูติของพระโพธิสัตว์ ภายนอกวิหาร เป็นสระโบกขรณี สถานที่ที่พระนาง สิริมหามายาเทวีลงชำระพระวรกายภายหลังจากประสูติพระโอรส
ภายในมหามายาเทวีวิหาร ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานหินแกะสลักพระโพธิสัตว์ปางประสูติ และรอยพระบาทพระโพธิสัตว์ ที่พระเจ้าอโศกมหาราชสร้างถวายเป็นพุทธบูชา ระหว่าง ที่เข้าคิวยาวเหยียดเพื่อกราบนมัสการรอยพระบาทอันเป็นสถานที่ประสูตินั้น ก็คิดได้ว่า สถานที่นี้เป็นสถานที่ประสูติครั้งสุดท้ายที่พระองค์จะได้บำเพ็ญประโยชน์สูงสุดแก่ มนุษย์พร้อมทั้งเทวดา พรหม ทำให้มีผู้ไม่กลับมาเกิดอีกอย่างพระองค์เป็นจำนวน มหาศาล และนึกถึงตัวเองว่า จะต้องกลับมาเกิดอีกกี่กัป แต่ก็ยังมีความอุ่นใจว่า ถ้า สะสมปัญญาจากการศึกษาพระธรรมของพระองค์ไปเรื่อยๆ ก็คงได้รับประโยชน์จากการ ตรัสรู้ของพระองค์บ้าง จนสุดท้ายก็จะไม่กลับมาเกิดอีกเช่นกัน
เมื่อทุกคนได้กราบนมัสการครบแล้ว ยังมีเวลาเหลืออีกมาก เพราะต้องรับประทาน อาหารกลางวันที่โรงแรมก่อนถึงจะเดินทางไปกรุงสาวัตถี จึงไปหาที่สนทนาธรรมใต้ ต้นไม้ใหญ่ ก็พบชาวศรีลังกากลุ่มใหญ่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ชาวศรีลังกานี้เลื่อมใสศรัทธา พระพุทธศาสนามากจริงๆ เมื่อปี ๔๕ ได้ไปศรีลังกา พบว่าพระพุทธศาสนาอยู่ในชีวิต ประจำวันของเขาเลย ทุกวันจะต้องไปวัด ไปกวาดลานวัด ไปไหว้ต้นโพธิ์ เห็นแล้วซึ้ง ใจจริงๆ ทั้งๆ ที่ตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตกเป็นร้อยปี แต่ก็ยังรักษาประเพณีและ ศาสนาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น นับถือจริงๆ
พวกเราจึงหลบไปอีกมุมหนึ่ง ได้สนทนาธรรมกันเพียงเล็กน้อย เพราะเมื่อไม่มีท่าน อาจารย์เป็นประธานในการสนทนา ก็รู้สึกกร่อยๆ ท่านอาจารย์เป็นคลังพระธรรม ท่าน เตือนให้ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเสมอบ่อยๆ เนืองๆ เตือนให้ระลึก ได้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เราชอบฟังมาก รู้สึกประทับใจ ซึ้งใจ เย็นใจ เมื่อท่านอาจารย์พูดจบ สักครู่ก็ลืมอีกแล้ว เหมือนรอยขีดในน้ำ นึกถึงก่อนที่พระโพธิสัตว์จะประสูติ ท่านทรงเลือกเวลาที่เหมาะสม คือ ในขณะนั้นผู้คนมีสติปัญญาดี ฟังธรรมเข้าใจแล้วสามารถทรงจำไว้ได้ ไม่ลืมอย่าง รวดเร็วเหมือนรอยขีดในน้ำ เป็นอย่างนี้นี่เอง ท่านถึงไม่เลือกมาเกิดในสมัยปัจจุบัน ออกจากลุมพินีวันด้วยรถสามล้อ ต้องไปที่วัดไทยลุมพินีเพื่อนำของที่สำนักสงฆ์ ๙๖๐ ฝากมาให้ เลยได้ชมวัดไทยทุกแห่งโดยไม่ได้ตั้งใจ วัดไทยลุมพินีสร้างสวยงามใหญ่โต มาก ในโบสถ์มีพระพุทธรูปปางประสูติ เห็นเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า Little Buddha นึกไม่ออกเลยว่า เมื่อ ๕ ปีก่อนที่มา ยังเป็นวัดเล็กๆ อยู่เลย น่าอัศจรรย์ที่พระบารมีที่ทรง บำเพ็ญไว้ ๔ อสงไขยแสนกัปนั้นยังส่งผลให้ปรากฏถึงปัจจุบัน แม้เวลาจะผ่านไปกว่า ๒,๕๐๐ กว่าปี ไม่ว่าอะไรที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ ก็จะมีผู้ศรัทธาร่วมกันทำให้ยิ่งใหญ่ เสมอ
"เราเป็นผู้เลิศที่สุดในโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ เราจักไม่เกิดอีก”...
อ่านแล้วเกิดความซาบซึ้ง ปิติ ระลึกถึงพระมหากรุณาคุณ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
"นึกถึงก่อนที่พระโพธิสัตว์จะประสูติ ท่านทรงเลือกเวลาที่เหมาะสมคือ ในขณะนั้นผู้คนมีสติปัญญาดี ฟังธรรมเข้าใจแล้วสามารถทรงจำไว้ได้ ไม่ลืมอย่างรวดเร็วเหมือนรอยขีดในน้ำ เป็นอย่างนี้นี่เอง ท่านถึงไม่เลือกมาเกิดในสมัยปัจจุบัน"
เพราะคนสมัยปัจจุบันมุ่งแต่สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้ตนสบายด้วยเพราะความ ขี้เกียจทั้งหลาย
ขอกราบอนุโมทนาค่ะ