อินเดีย ... อีกแล้ว 31 กรุงกบิลพัสดุ์

 
kanchana.c
วันที่  20 ธ.ค. 2552
หมายเลข  14806
อ่าน  4,167

กรุงกบิลพัสดุ์

ออกจากลุมพินีหลังอาหารเที่ยงเพื่อไปสาวัตถี ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ ๖ ชั่วโมง (ไม่ได้บอกระยะทาง) รถแล่นกลับเข้าอินเดีย และแวะชมกรุงกบิลพัสดุ์ ซึ่งห่าง จากลุมพินี ๒๐ กิโลเมตร และเป็นทางผ่าน โดยแยกเข้าไปอีก ๙ กิโลเมตร กรุงกบิล พัสดุ์ที่ไปแวะชมนั้นเป็นกรุงกบิลพัสดุ์เก่าที่อยู่ในเขตอินเดีย ยังมีกรุงกบิลพัสดุ์ที่อยู่ใน เขตเนปาลอีก ซึ่งมีสถานที่สำคัญต่างๆ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๒ วัน จึงจะชมได้อย่าง ทั่วถึง เช่น สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าโกนาคม วัดนิโครธาราม อันเป็นวัดแห่งแรก ในกรุงกบิลพัสดุ์ ที่เจ้านิโครธศากยะถวายเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าในขณะที่ทรง โปรดพุทธบิดา ที่ถวายพระเพลิงศพพระพุทธบิดาและพระมารดา พิพิธภัณฑ์ที่เก็บของ ที่ขุดพบในบริเวณกรุงกบิลพัสดุ์ เป็นต้น

ข้อความจากหนังสือ “หนังสือภาพ ตามรอยบาทพระศาสดาฯ” เล่าไว้ว่า ... กรุงกบิลพัสดุ์เป็นเมืองหลวงของแคว้นสักกะ ตั้งอยู่ตอนเหนือของชมพูทวีป ติดกับ ป่าหิมพานต์เชิงเขาหิมาลัยที่หนาวเหน็บ เพราะมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี เมื่อหิมะ ละลายกลายเป็นสายน้ำไหลเอิบอาบซึมซาบอยู่ใต้ผิวดิน ทำให้กรุงกบิลพัสดุ์มีความ อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและมนุษย์เพาะปลูก เอาไว้บริโภค…

อดนึกถึงเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ขณะที่ยังทรงเป็นปุถุชนในกรุงกบิลพัสดุ์ไม่ได้ จาก การศึกษาพุทธประวัติ มีเรื่องย่อๆ มาเล่าว่า

เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติที่ลุมพินีวันแล้ว พระนางสิริมหามายาเทวีก็เสด็จกลับกรุง กบิลพัสดุ์ เมื่อประสูติได้ ๕ วัน พระเจ้าสุทโธทนะเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ มาขนานนาม และทำนายลักษณะ ซึ่งมี ๒ คติ คือ อยู่ครองราชย์หรือออกผนวช พราหมณ์โกณฑัญญะ ผู้เดียวที่ทำนายอย่างเดียวว่า จะเสด็จออกผนวชแน่นอน

เมื่อประสูติได้ ๗ วัน พระราชมารดาก็สิ้นพระชนม์ ทรงได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากพระ นางมหาปชาบดีโคตมี ผู้เป็นพระมาตุจฉาของพระองค์ ซึ่งต่อมาก็มีพระโอรสและพระ ธิดา คือ นันทกุมาร และรูปนันทา

พระราชบิดาทรงต้องการให้อยู่ครองราชย์ จึงทรงบำรุงให้มีความสุขในกามคุณ ทุกอย่าง เมื่อพระโพธิสัตว์มีพระชนม์ได้ ๗ พรรษา พระราชบิดาโปรดให้ขุดสระบัว ๓ สระ เมื่อพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา โปรดให้สร้างปราสาท ๓ หลัง สำหรับประทับ ๓ ฤดู และโปรดให้อภิเษกสมรสกับพระนางยโสธรา พระโพธิสัตว์มีพระสนม ๔๐,๐๐๐ นาง เสวยสุขสมบัติทั้งกลางวันและกลางคืน

จนพระชนม์ ๒๙ พรรษา ได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูต ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ อันเทวดาเนรมิตไว้ระหว่างทางที่เสด็จประพาสพระราชอุทยาน ซึ่งพระองค์ ไม่เคยเห็นมาก่อน ทรงพอพระราชหฤทัยในการบรรพชาเพราะทรงเห็นสมณะ โดย เสด็จหนีออกในเวลากลางคืน ทรงม้ากัณฐกะ มีนายฉันนะตามเสด็จ ถึงฝั่งแม่น้ำอโนมา ทรงให้นายฉันนะนำม้าพระที่นั่งกลับคืนพระนคร ทรงตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์ อธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต

เมื่อบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธญาณแล้ว ทรงแสดงปฐมเทศนา และตั้งมั่นพระ ศาสนาที่แคว้นมคธแล้ว พระพุทธบิดาทรงส่งทูตไปทูลเชิญมากรุงกบิลพัสดุ์ถึง ๙ คณะ แต่ทุกคณะนั้นเมื่อได้ฟังธรรมก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ไม่ได้ทูลเชิญให้ เสด็จมา จนกระทั่งถึงคณะที่ ๑๐ ซึ่งมีกาลุทายีอำมาตย์ ผู้เป็นสหชาติของพระองค์ เป็น ทูตไปทูลเชิญ ท่านกาลุทายีอำมาตย์ได้ฟังพระธรรมแล้วบรรลุพระอรหันต์เช่นกัน เมื่อ บวชแล้วก็ทูลเชิญพระศาสดาพร้อมกับพระภิกษุจำนวน ๒๐,๐๐๐ รูป มากรุงกบิลพัสดุ์ โดยติดตามมาด้วย ใช้เวลาเดินทางมาเป็นเวลา ๒ เดือน

เมื่อถึงกรุงกบิลพัสดุ์ เสด็จไปสู่นิโครธาราม ทรงแสดงธรรมเพื่อทำลายมานะของพระ ญาติ ทรงให้ฝนโบกขรพรรษสีแดง (ฝนที่ทำให้เปียกก็ได้ ไม่เปียกก็ได้ ตามความ ต้องการ) ตกในหมู่พระญาตินั้น แล้วตรัสเวสันดรชาดก ทรงโปรดพระพุทธบิดาให้ บรรลุเป็นพระอรหันต์ในพรรษาที่ ๔ หลังจากทรงตรัสรู้

กรุงกบิลพัสดุ์ที่ได้เห็นในวันนี้ มีบริเวณกว้างขวาง สนามหญ้ากว้างใหญ่เขียวขจี เห็น หมู่ไม้ร่มรื่น มีซากพระสถูปเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่ได้รับส่วนแบ่งมาจากกรุง กุสินารา เห็นซากปราสาท ๓ ฤดู อยู่ไกลๆ ไม่ได้เดินสำรวจ เพราะแดดร้อนจัด ความ ขี้เกียจเลยทำให้ไม่ได้เห็นของดี เพราะอีกคณะหนึ่งได้เดินไปดูจนทั่ว เล่าให้ฟังถึงความ สวยงามที่เราไม่ได้เห็น

เมื่อเดินกลับออกมา เจ้าหน้าที่นำสมุดเยี่ยมชมมาให้เซ็น แล้วพูดถึงเรื่องข้าว ซึ่งเราก็ งงมากว่าเกี่ยวอะไรกับข้าว กว่าจะรู้เรื่องกันว่า มีการขุดพบข้าวสารดำในบริเวณ พระราชวังจำนวนมาก คาดว่าคงเป็นข้าวในครั้งโบราณที่ทับถมอยู่นานจนแข็งกลาย เป็นหิน

มีคนกำลังทำการขุดเพื่อฟื้นฟูโบราณสถานแห่งนี้หลายคน เจ้าหน้าที่คนเดิม เอาข้าวสารดำที่ห่อหนังสือพิมพ์เก่าๆ มาให้ดู และมอบให้พวกเรา (ให้รูปีแลกเปลี่ยน เช่นเดิม) ซึ่งได้แบ่งกันเป็นที่ระลึก มาทราบภายหลังว่า มีการขุดพบข้าวสารดำเป็น จำนวนมาก และคนไทยก็ถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ จึงมีการนำใส่ขวดมาขาย จนกลัวว่า จะไม่เหลือ แต่วันนี้ไม่เห็นใครมาขายอะไร หรืออาจจะเป็นที่กรุงกบิลพัสดุ์ใหม่ในฝั่ง เนปาลก็ได้

ออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ด้วยความรื่นรมย์ใจ เพราะคาดไม่ถึงว่า จะสวยงามอย่างนี้ นี่ ขนาดเหลือแต่เพียงซาก ถ้ายังอยู่ครบสมบูรณ์จะสวยงามมากกว่านี้ขนาดไหน เราก็ได้ แต่นึกคิดไปตามจินตนาการ โลกความคิดนึกนี่ไม่จำกัดเลย ขยายออกไปได้เรื่อยๆ ตามประสบการณ์ คือ การสะสมของแต่ละคน เป็นโลกของบัญญัติ ซึ่งต่างจากโลก ของปรมัตถ์ คือ ความจริงแท้ ถ้ารู้โลกของปรมัตถ์ก็จะจบลงสั้นๆ เพียงขณะที่เกิด ปรากฏ เพราะรู้ว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เกิด ขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปทันที


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
วิริยะ
วันที่ 21 ธ.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
hadezz
วันที่ 21 ธ.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
pondhip
วันที่ 21 ธ.ค. 2552

(-/-) ขอบคุณ และอนุโมทนาค่ะ ได้รู้จักเจ้าของกระทู้จากหนังสือ 4 วัน ใน พุทธคยาที่มีคนนำมาให้ มีใครทราบบ้างมั้ยคะว่าท่านอายุเท่าไหร่แล้ว เกษียณอายุหรือยัง อยากรู้จักท่านมากกว่านี้ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ups
วันที่ 21 ธ.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jangthi
วันที่ 21 ธ.ค. 2552

ฝากถึงคุณ pondhip ถ้าอยากรู้จักท่านมากกว่านี้ รบกวนติดตามตอนต่อๆ ไป ของท่านนะคะ เพราะว่ามีอะไรดีดีอีกเยอะค่ะ

กราบขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Jans
วันที่ 28 ธ.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Naza
วันที่ 31 ก.ค. 2566

ขอบคุณและอนุโมทนาเจ้าค่ะ สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับธรรมะให้ด้วย มีเหตุมีปัจจัย อย่างนี้ กุศลกรรมส่งผล มีจิตปารถนาให้ได้ไปกราบสักการะ ยินดีด้วยและอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ