อินเดีย ... อีกแล้ว 32 สาวัตถี
สาวัตถี
เดินทางจากกรุงกบิลพัสดุ์ประมาณบ่ายสองโมงมุ่งตรงไปสาวัตถีเลย เพราะต้องใช้ เวลานานมาก อาจจะถึงประมาณสามทุ่ม สองข้างทางนั้นก็ไม่มีอะไรให้แวะดู เป็น ชนบทเล็กๆ ที่ยังเป็นธรรมชาติเหมือนสาวบริสุทธิ์ จนตากล้องมือดีของเราจับภาพนก กระเรียนในทุ่งนาข้างทางได้
นึกถึงภาพของกรุงสาวัตถีที่จะไปถึง คำว่า “สาวัตถี” เป็นคำที่คุ้นหูชาวพุทธมาก เพราะในสูตรต่างๆ ก็มักจะกล่าวถึง วิหารพระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี แห่งกรุงสาวัตถี
ในครั้งพระพุทธกาลสาวัตถีเป็นเมืองหลวงของแคว้นโกศล มีพระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นกษัตริย์ปกครอง พระนางมัลลิกาเทวีเป็นพระอัครมเหสีซึ่งมีเรื่องราวชีวิตที่สนุกน่า ติดตามมาก (หาอ่านได้ในพระธัมมปทัฏฐกถาแปล) ทรงเป็นผู้มีศรัทธามากในพระพุทธ ศาสนา พระนางได้ถวายอสทิสทาน ทานที่ยิ่งใหญ่ ที่มีแด่พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่แม้กระนั้นเมื่อพระนางสวรรคตก็ไปเกิดในนรกถึง ๗ วัน เพราะมีจิตเศร้าหมองด้วยนึกถึงกรรมลามกที่ทรงทำไว้ แต่เมื่อได้เห็นเปลวไฟในนรก เกิดกุศลจิตระลึกถึงผ้ากาสาวพัสตร์ที่เคยได้ถวายทานไว้ ทำให้พ้นจากนรกเกิดใน สวรรค์
พระผู้มีพระภาคทรงประทับอยู่ที่กรุงสาวัตถีถึง ๒๕ พรรษา โดยประทับที่พระวิหาร เชตวัน ๑๙ พรรษา และที่วิหารบุพพารามของท่านวิสาขามหาอุบาสิกาอีก ๖ พรรษา พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงสนิทสนมกับพระผู้มีพระภาคมาก เรื่องราวของพระองค์ก็น่า ศึกษาเป็นแบบอย่างหลายเรื่อง เรื่องที่เราสนใจเพราะตรงกับเทรนด์สมัยนี้พอดี คือ โรคอ้วน
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงบริโภคอาหารจุจนอ้วน อึดอัด และง่วงอยู่เสมอ แม้เมื่อไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคก็ทรงถูกความหลับครอบงำ เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงถาม ก็ทูลว่า เมื่อ เวลาบริโภคอาหารแล้วมีความทุกข์มาก พระผู้มีพระภาคทรงตรัสสอนด้วยพระคาถาว่า “ในกาลใด บุคคลใด เป็นผู้กินจุ มักง่วง และมักนอนหลับ กระสับกระส่าย เป็นดุจสุกร ใหญ่ที่เขาเลี้ยงด้วยอาหาร ในกาลนั้น เขาเป็นคนมึนซึม ย่อมเข้าห้องบ่อยๆ ”
แล้วทรงแสดงอุบายแก้การบริโภคอาหารมากด้วยคาถาว่า “คนมีสติทุกเมื่อ รู้ประมาณในโภชนะที่ได้แล้วนั้น มีเวทนาเบาบาง มีโรคภัยไข้เจ็บ น้อย แก่ช้า อายุยืน”
เมื่อพระราชาทรงปฏิบัติตาม โดยลดการบริโภคทีละเล็กละน้อย ก็มีพระสรีระอันเบา ทรงถึงความสุขแล้ว ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาค ทรงตรัสพระคาถาว่า “ลาภทั้งหลายมีความไม่มีโรคเป็นอย่างยิ่ง ทรัพย์มีความสันโดษเป็นอย่างยิ่ง ญาติมี ความคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง”
จะเห็นพระมหากรุณาคุณอย่างยิ่งของพระองค์ ทรงสอนในทุกเรื่องที่จะทำให้สาวกของ พระองค์ถึงความสุขในระดับต่างๆ ทั้งในระดับชาวบ้านผู้ครองเรือน จนกระทั่งถึงความ สุขอย่างยิ่ง คือ พระนิพพาน
นั่งหลับๆ ตื่นๆ ในรถตู้ นึกถึงเรื่องพระเจ้าปเสนทิโกศลอ้วนได้เรื่องเดียว ก็จะถึงกรุง สาวัตถีแล้ว เมื่อเห็นแสงไฟสว่างข้างทาง ผู้คนพลุกพล่าน คงเป็นตัวเมืองสาวัตถี แต่ก็ ยังไม่ถึง รถวิ่งไปตามถนนที่มืดสนิทอีกพักใหญ่ อาบีมก็พามาจอดที่โรงแรมนิกโก้โลตัส ที่มืดสนิท จนน่าแปลกใจ เมื่อลงไปถาม ก็รู้ว่าพามาผิดโรงแรม ต้องย้อนกลับไปที่ โรงแรมปาวาลพาเลซที่ผ่านมาเมื่อครู่นี้อีก คราวนี้เห็นรถบัสและไฟที่ห้องอาหารเปิด สว่างไสว จะได้พบกับคณะของท่านอาจารย์ที่มาทางเครื่องบินจากพาราณสีมาลงที่ เมืองลักเนาว์ แล้วต่อรถมาที่กรุงสาวัตถีแล้ว รู้สึกตื่นเต้นดีใจ ราวกับไม่เห็นกันมานาน ทั้งๆ ที่ก็เพียงแค่ ๓ คืนเท่านั้นเอง
ทั้งๆ ที่รถตู้ของเราหลงทาง แต่ก็มาถึงก่อนรถบัสใหญ่ที่แล่นได้ช้ามาก เกือบชั่วโมง สังเกตดูว่า จะรู้ว่าหลงทางเมื่อไปถึงจุดหมายแล้วไม่ใช่สถานที่ที่ต้องการ จึงต้องถามผู้ รู้ทั้งหลาย เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วก็ปฏิบัติตาม จนหาทางถูก คือ ถึงที่หมายที่ต้องการได้ แต่การเดินทางไกลในสังสารวัฏฏ์แล้วหลงผิดนั้น ไม่รู้ตัวเลยว่าหลงผิด เพราะจุดหมาย ปลายทาง คือ การออกจากสังสารวัฏฏ์นั้น ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร เมื่อไม่รู้ว่าหลงผิด ก็ ย่อมไม่หาทางที่ถูก แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีถึงสี่อสงไขย แสนกัปเพื่อที่หาทางหลุดพ้นจากสังสารวัฏฏ์ด้วยการตรัสรู้อริยสัจ ๔ แล้วทรงแสดงหน ทางนั้น เพื่อให้ผู้มีสะสมบารมีมาเช่นกันได้หลุดพ้นด้วย
แต่พระธรรมที่ตรัสรู้นั้นก็ไม่สาธารณะสำหรับทุกคน เพราะเป็นสิ่งที่สุขุมลุ่มลึกยากที่จะ รู้ตาม ต้องสะสมปัญญามาบ้างจึงจะพอเข้าใจได้ แต่พวกเราก็โชคดีที่มีท่านอาจารย์ คอยชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง ทำให้ไม่หลงทางที่รกชัฏนี้ เหมือนประทีปส่องทางให้พวก เราเดินตามได้ตามกำลังสติปัญญาของตน