ความสำคัญผิด

 
sutta
วันที่  24 ธ.ค. 2552
หมายเลข  14846
อ่าน  1,060

[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 226

๙. สตปัตตชาดก

ว่าด้วยความสำคัญผิด

[๔๓๖] มาณพสำคัญนางสุนัขจิ้งจอกในหนทาง ซึ่งเที่ยวอยู่ในป่าผู้ปรารถนาประโยชน์ และบอกให้รู้ด้วยอาการอย่างนั้นว่า เป็นผู้ปรารถนาความฉิบหายว่า มาสำคัญนกกระไนผู้ปรารถนาความฉิบหายว่า เป็นผู้ปรารถนา ประโยชน์ฉันใด.

[๔๓๗] บุคคลบางคนในโลกนี้ย่อมเป็นเช่นนั้น เมื่อชนทั้งหลายผู้ปรารถนาประโยชน์กล่าวสอน ย่อมกลับถือเอาโดยไม่เคารพ ฉันนั้น.

[๔๓๘] อนึ่ง ชนเหล่าใดสรรเสริญบุคคลนั้นก็ดี ยกย่องบุคคลนั้นเพราะกลัวก็ดี ก็สำคัญชน เหล่านั้นว่าเป็นมิตร เหมือนมาณพสำคัญผิด นกกระไนว่าเป็นมิตร ฉะนั้น.

จบ สตปัตตชาดกที่ ๙

อรรถกถาสตปัตตชาดกที่ ๙

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภพวกภิกษุฉัพพัคคีย์ชื่อว่าปัณฑกะและโลหิตกะ จึงตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า ยถา มาณวโฑ ปนฺเถ ดังนี้.

ได้ยินว่า บรรดาภิกษุฉัพพัคคีย์ทั้งหลายพระฉัพพัคคีย์ ๒ รูป คือ พระเมตติยะและพระภุมมชกะ อาศัยนครราชคฤห์อยู่ พระฉัพพัคคีย์ ๒ รูป คือ พระอัสสชิและ พระปุนัพพสุกะเข้าไปอาศัยกิฏาคิรีวิหารอยู่ ส่วนพระฉัพพัคคีย์ ๒ รูปนี้ คือ พระปัณฑกะและพระโลหิตกะ เข้าไปอาศัยนครสาวัตถีอยู่ เธอทั้งสองนั้นรื้อฟื้นอธิกรณ์ที่ระงับแล้วโดยชอบธรรม ซ้ำเป็นผู้สนับสนุนพวกภิกษุเป็นเพื่อนเห็นและเพื่อนคบ กล่าวคำมีอาทิว่าอาวุโสทั้งหลาย พวกท่านใช่ว่าจะเลวกว่าภิกษุเหล่านี้โดยชาติ โคตรศีลหรือวัตรเป็นต้น ก็หามิได้ ถ้าท่านทั้งหลายสละการยึดถือของตนเสีย ภิกษุเหล่านี้ก็จักข่มขี่นั้นพวกท่านหนักขึ้น แล้วชักชวนไม่ให้ละวางการยึดถือ. ด้วยเหตุนั้นความหมายมั่น และการทะเลาะวิวาทจึงเป็นไปอยู่. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุนี้ แล้วรับสั่งให้เรียกพระปัณฑกะและพระโลหิตกะมา ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่าพวกเธอรื้อฟื้นอธิกรณ์แม้ด้วยตนเอง ทั้งยังไม่ให้ภิกษุเหล่าอื่นปล่อยวางการยึดถือ จริงหรือ เมื่อพระปัณฑกะและพระโลหิตกะทูลว่า จริงพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อเป็นอย่างนั้น การกระทำของพวกเธอย่อมเป็นเหมือนการการทำของนกกระไน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลหนึ่งในหมู่บ้านแคว้นกาสีแห่งหนึ่ง พอเจริญวัยแล้ว ไม่เลี้ยงชีวิตด้วยกสิกรรมและพาณิชกรรมเป็นต้น แต่รวบรวมพวกโจร ๕๐๐ เป็นหัวหน้าโจรเหล่านั้น กระทำโจรกรรม เช่น ปล้นคนเดินทางและตัดช่องย่องเบาเป็นต้นเลี้ยงชีวิต ในกาลนั้น มีกฎุมพีคนหนึ่งในเมืองพาราณสี ให้ทรัพย์พันกหาปณะแก่ชาวชนบทคนหนึ่งยืมไป แต่ยังไม่ได้เอากลับคืนมา ก็ตายเสียก่อน ครั้นในในกาลต่อมา ภรรยาของกฎุมพีนั้น ป่วยเป็นไข้ใกล้จะตาย จึงเรียกบุตรมาบอกว่า ดูก่อนพ่อ บิดาของเจ้าให้ทรัพย์พันหนึ่งแก่ชาวชนบทคนหนึ่ง ยืมไป ยังไม่ได้ให้นำคืนมาก็ตายเสียก่อน ถ้าแม้แม่จักตายไป เขาก็จักไม่ให้เจ้า ไปเถิดเจ้า เมื่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ เจ้าจงให้นำทรัพย์พันกหาปณะนั้นมาเก็บไว้ บุตรนั้นรับคำแล้วไปในที่นั้นได้กหาปณะมา

ลำดับนั้น มารดาของเขา ก็กระทำกาลกิริยาตายไป เพราะความรักบุตร จึงบังเกิดเป็นสุนัขจิ้งจอกโดยอุปปาติกะกำเนิดอยู่ ณ ที่ใกล้ทางมาของบุตรนั้น ในกาลนั้น หัวหน้าโจรนั้นเมื่อจะปล้นคนเดินทาง จึงพร้อมด้วยบริวารยืนอยู่ใกล้หนทางนั้น ลำดับนั้น นางสุนัขจิ้งจอกนั้น เมื่อบุตรมาถึงปากดง จึงคุ้ยหนทางห้ามซ้ำๆ ซากๆ อันเป็นสัญญาณให้รู้ดังนี้ว่า ดูก่อนพ่อ เจ้าอย่าเข้าดงเลย พวกโจรตั้งซุ่มอยู่ที่นั้น พวกมันจักฆ่าเจ้า แล้วยึดเอากหาปณะไป บุตรนั้นไม่รู้เหตุการณ์อันนั้นคิดว่า นางสุนัขจิ้งจอก กาลกิณีตัวนี้มาขุดคุ้ยหนทางเรา จึงหยิบก้อนดินนั้นไล่มารดาให้หนีไป แล้วเดินทางไปยังดง.

ลำดับนั้น นกกระไนตัวหนึ่งบินบ่ายหน้าไปทางโจรร้องว่า บุรุษผู้นี้ มีทรัพย์พันกหาปณะอยู่ในมือ พวกท่านจงฆ่าบุรุษผู้นี้แล้วยึดเอากหาปณะไว้ มาณพไม่รู้เหตุที่นกกระไนนั้นกระทำ จึงคิดว่า นกตัวนี้ เป็นนกมงคล บัดนี้ ความสวัสดีจักมีแก่เรา จึงประคองอัญชลีกล่าวว่าร้องเถอะนาย ร้องเถอะนาย. พระโพธิสัตว์เป็นผู้รู้เสียงร้องของสัตว์ทั้งปวง เห็นกิริยาของสัตว์ทั้งสองนั้นแล้ว จึงคิดว่า นางสุนัขจิ้งจอกนี้คงจะเป็นมารดาของบุรุษผู้นี้ ด้วยเหตุนั้นจึงห้ามปราม เพราะกลัวว่า พวกโจรจักฆ่าบุรุษผู้นี้ แล้วยึดเอากหาปณะไป ส่วนนี้กระไนนี้ คงจะเป็นศัตรูด้วยเหตุนั้น มันจึงร้องบอกว่า ท่านทั้งหลายจงฆ่าบุรุษผู้นี้แล้วยึดเอากหาปณะ แต่บุรุษนี้ ไม่รู้ความหมายนี้ คุกคามมารดาผู้ประโยชน์นาประโยชน์ให้หนีไป ประคองอัญชลีแก่นกกระไน ผู้ใคร่ต่อความฉิบหายด้วยความเข้าใจว่า เป็นผู้ใคร่ประโยชน์แก่เรา โอหนอ บุรุษนี้เป็นคนเขลา ก็การถือเอาทรัพย์ของผู้อื่น แห่งพระโพธิสัตว์แม้ผู้เป็นมหาบุรุษอย่างนี้ ย่อมมีได้ด้วยอำนาจการถือปฏิสนธิอันไม่สม่ำเสมอ บางอาจารย์กล่าวว่า เพราะโทษแห่งดาวนักขัตฤกษ์ ดังนี้ก็มี มาณพเดินทางมาถึงระหว่างแดนแห่งพวกโจร พระโพธิสัตว์ให้จับมาณพนั้น แล้วถามว่า เจ้าเป็นชาวเมืองไหน มาณพ กล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นชาวเมืองพาราณสี พระโพธิสัตว์ เจ้าไปไหนมา มาณพ ทรัพย์พันกหาปณะ ที่ควรจะได้ มีอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ไปที่หมู่บ้านนั้นมา พระโพธิสัตว์ ก็ทรัพย์พันกหาปณะนั้น เจ้าได้มาแล้วหรือ

มาณพ ได้มาแล้วขอรับ. พระโพธิสัตว์ . ใครส่งเจ้าไป มาณพ . นายบิดาของข้าพเจ้าตายแล้ว ฝ่ายมารดาของข้าพเจ้าก็ป่วยไข้ มารดาสำคัญว่าเมื่อเราตายไป บุตรนี้จักไม่ได้ทรัพย์คืน จึงส่งข้าพเจ้าไป พระโพธิสัตว์ . บัดนี้ เจ้ารู้ความเป็นไปแห่งมารดาของเจ้าไหม มาณพ ข้าแต่นาย ข้าพเจ้าไม่รู้. พระโพธิสัตว์ กล่าวว่า มารดาของเจ้า เมื่อเจ้าออกมาแล้วก็ตาย เพราะความรักบุตรจึงเกิดเป็นนางสุนัขจิ้งจอก เป็นผู้กลัวภัยคือความตายของเจ้า จึงขุดคุ้ย ณ ที่สุดปลายทางห้ามเจ้าไว้ แต่เจ้าคุกคามนางสุนัขจิ้งจอกนั้นให้หนีไป ส่วนนกกระไนเป็นปัจจามิตรของเจ้า มันร้องบอกพวกเราว่า พวกท่านจงฆ่าบุรุษนี้ แล้วยึดเอากหาปณะ เพราะเจ้าเป็นคนโง่เขลา เจ้าจึงสำคัญมารดาผู้ปรารถนาประโยชน์ว่าเป็นผู้ไม่ปรารถนาแก่เรา สำคัญนกกระไนผู้ปรารถนาความฉิบหาย ว่าเป็นผู้ใคร่ประโยชน์แก่เรา ชื่อว่าคุณความดีที่เจ้ากระทำแก่พวกเรา ไม่มี แต่มารดาของเจ้ามีพระคุณมากหลาย ถึงจะตายแล้วก็จริง เจ้าจงถือเอากหาปณะทั้งหลายไปเถิด แล้วปล่อยมาณพนั้นไป.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้ยิ่งเอง จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านั้นว่า :- มาณพสำคัญนางสุนัขจิ้งจอก ซึ่งเที่ยวไปในป่า ผู้ปรารถนาประโยชน์ ผู้บอกให้ทราบด้วยอาการ ในระหว่างทาง ว่าเป็นผู้ ปรารถนาความฉิบหาย และสำคัญนกกระไน ผู้ใคร่ต่อความฉิบหาย ว่าเป็นผู้ปรารถนาประโยชน์ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเป็นเช่นกับมาณพนั้น ฉันนั้นเหมือนกัน อันชนทั้งหลายผู้ปรารถนาประโยชน์เกื้อกูล กล่าวคำตักเตือน ย่อมรับเอาโดยไม่เคารพ. อนึ่ง ชนเหล่าใด สรรเสริญบุคคลนั้นก็คือ ยกย่องบุคคลนั้น เพราะความกลัวก็ดี ก็มา สำคัญชนเหล่านั้นว่าเป็นมิตร เหมือนมาณพ สำคัญนกกระไนว่าเป็นมิตรฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หิเตภิ ได้แก่ ผู้ปรารถนาประโยชน์เกื้อกูล คือความเจริญ.

บทว่า วจน วุตฺโต ได้แก่ ผู้กล่าวโอวาทสั่งสอนและอนุศาสน์พร่ำสอนอันนำหิตสุขมาให้. บทว่าปฏิคฺคณฺหติวามโต ความว่า บุคคลผู้ไม่รับโอวาท เมื่อรับเอาด้วยคิดว่า นี้ไม่นำประโยชน์มาให้เรา นี้นำความฉิบหายมาให้เรา. ชื่อว่ารับเอาโดยไม่เคารพ.

บทว่า เย จ โข น ความว่า อนึ่ง บุคคลเหล่าใดย่อมสรรเสริญบุคคลนั้น ผู้ถือเอาความยึดถือของตนอยู่ว่า ชื่อว่าบุคคลผู้ยึดถืออธิกรณ์มั่นอยู่ ต้องเป็นเช่นกับท่าน.

บทว่า ภยา อุกฺกสยนฺติวา ความว่า ย่อมยกขึ้นแสดงภัย เพราะปัจจัยคือการสละอย่างนี้ว่าเพราะการสละความยึดถือนี้เป็นปัจจัย ภัยนี้แลจักเกิดขึ้นแก่ท่านท่านอย่าได้สละ คนเหล่านี้ย่อมไม่ถึงท่านด้วยพาหุสัจจะตระกูล และบริวารเป็นต้น.

บทว่า ต หิ โส มญฺเต มิตฺต  ความว่า บรรดาชนทั้งหลายผู้เห็นปานนั้น บุคคลนั้น บางคนเป็นคนโง่เขลา ย่อมสำคัญคนใดคนหนึ่ง ว่าเป็นมิตร เพราะความที่ตนเป็นคนเขลา คือย่อมสำคัญว่าผู้นี้ เป็นมิตรผู้ใคร่ประโยชน์แก่เรา.

บทว่า สตปตฺต ว มาณโว ความว่า เหมือนมาณพนั้น สำคัญนกกระไนผู้ใคร่ต่อความฉิบหายเท่านั้น ว่าเป็นผู้ใคร่ความเจริญ เพราะความที่ตนเป็นคนเขลา ส่วนบัณฑิตไม่ถือเอาคนหัวประจบ เห็นปานนั้นว่าเป็นมิตรย่อมเว้นบุคคลนั้นเสียห่างไกลทีเดียว ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า :-

บุคคลผู้มิใช่มิตร ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ มิตรผู้นำเอาไปส่วนเดียว คือคนปอกลอก ๑ มิตรมีวาจาเป็นเบื้องหน้า คือคนดีแต่พูด ๑ มิตรผู้กล่าวแต่คำคล้อยตาม คือคนหัวประจบ ๑ มิตรผู้เป็นเพื่อนในอบายทั้งหลาย คือคนที่ชักชวนในทางฉิบหาย ๑ บัณฑิตรู้แจ้งดังนี้ แล้ว พึงเว้นให้ห่างไกล เสมือนบุคคลละเว้นหนทางอันมีภัยเฉพาะหน้าฉะนั้น.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย ทรงประชุมชาดกว่า หัวหน้าโจรให้กาลนั้นคือเราตถาคตฉะนี้แล.

จบ อรรถกถาสตปัตตชาดกที่ ๙


  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 7 ต.ค. 2565

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 24 มี.ค. 2568

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ