พรปีใหม่ ๒๕๕๓ ... จากพระสูตร
ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฏก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ หน้า ๔๕๓
ปฐมเสทกสูตร
บุคคลผู้รักษาตน ย่อมชื่อว่ารักษาผู้อื่นบุคคลผู้รักษาผู้อื่น ชื่อว่ารักษาตน...
ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ
ควรพิจารณาเนืองๆ
สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต ควรพิจารณาเนืองๆ ว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความ เจ็บไข้ไปได้ เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
ขออนุโมทนาครับ
ผลของกรรมยุติธรรมที่สุดไม่มีบิดเบือน
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ให้พรตัวเองบ้างดีไหม
ใกล้ปีใหม่แล้ว โดยมากทุกท่านก็ให้พรคนอื่นให้พรตัวเองบ้างดีไหม พร คือ ความตั้งใจที่จะทำกุศล และกุศลก็อย่าได้คิดเรื่องของทานอย่างเดียว เพราะ กุศลควรจะเป็นทุกประการ ไม่ใช่แต่เฉพาะในเรื่องของทานเท่านั้น ถ้าให้พรแก่ตัวเองบ้าง คือ ว่า.. เริ่มพิจารณาจิตของตนเอง
ธรรมเตือนใจวันที่ : 31 ธ.ค. 2549
ขออนุโมทนาค่ะ
ถ้าเชื่อกรรมและผลของกรรมจริงๆ จะทำให้มั่นคงในการเจริญกุศลทุกประการค่ะ
ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฏก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ หน้า ๔๕๓
ข้อความบางส่วนจาก...
ปฐมเสทกสูตร
รักษาผู้อื่นย่อมชื่อว่ารักษาตนอย่างไรที่ชื่อว่ารักษาตนด้วยความอดทน ด้วยความไม่เบียดเบียน ด้วยความมีจิตเมตตาด้วยความเอ็นดูบุคคลผู้รักษาผู้อื่นย่อมชื่อว่ารักษาตนอย่างนี้แล...
จนกว่าจะสิ้นอาสวะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ
[เล่มที่ 42] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓
เชิญคลิกอ่านที่นี่
ใกล้ปีใหม่แล้ว ให้พรตัวเองบ้างดีไหม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 146
"เมื่อโลกสันนิวาส อันไฟลุกโพลงอยู่เป็นนิตย์ พวกเธอยังจะร่าเริง บันเทิงอะไรกันหนอ? เธอ ทั้งหลายย่อมความมืดปกคลุมแล้ว ทำไมจึงไม่แสวงหา ประทีปเล่า?
ประสูติ ณ ลุมพินีวัน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น.
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่มที่ ๒ ภาคที่ ๑ หน้า ๒๖๗
ในอัมพปาลิวัน นั้นแลพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสกะพระภิกษุทั้งหลายว่าดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะอยู่ นี้เป็น "อนุสาสนีของเรา" มอบให้แก่เธอทั้งหลาย
ทรงตรัสรู้ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ พุทธคยา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้มีสติอย่างไร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระศาสนานี้พิจารณากาย ในกาย .. เป็นผู้มีความเพียรมีสัมปชัญญะ มีสติอยู่ กำจัดอภิชฌา และ โทมนัสในโลกเสียได้
ทรงแสดงปฐมทศนา ณ ป่าอิสิปตนมฤทายวัน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระศาสนานี้พึงพิจารณาเวทนาในเวทนา พึงพิจารณาจิตในจิตพึงพิจารณาธรรมในธรรม มีสัมปชัญญะ มีสติอยู่ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้
ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติอยู่ อย่างนี้แล
พระคันธกุฎี สถานที่ทรงจำพรรษานานที่สุด ณ พระวิหารเชตวัน
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ก็ภิกษุ ยังหวังอะไรในตถาคตเล่า.
ดูก่อนอานนท์ ตถาคต มิได้มีกำมืออาจารย์ (ปิดบังซ่อนเร้น) ในธรรมทั้งหลาย
ดูก่อนอานนท์ ก็ในกาลบัดนี้ ... เราตถาคต แก่เฒ่าแล้ว เป็นผู้ใหญ่ ... ล่วงกาลผ่านวัย โดยลำดับแล้วอันวัยของตถาคตก็ดำเนินเข้าเป็น ๘๐ ปีอยู่
ดูก่อนอานนท์ เกวียนคร่ำคร่า เดินไปได้ ด้วยการแซมด้วยไม้ไผ่ แม้ฉันใดร่างกายของตถาคต ก็ดำเนินไปได้ เหมือนด้วยการแซมด้วยไม้ไผ่ แม้ฉันนั้นแล. เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะมีตนเป็นสรณะอยู่เถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะเลย
ดูก่อนอานนท์ เพราะว่า ในกาลบัดนี้ก็ดีโดยการที่เราตถาคต ล่วงลับไปแล้วก็ดี ภิกษุทั้งหลายพวกใดพวกหนึ่ง ... จักมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นสรณะอยู่ ไม่เป็นผู้มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ
ภิกษุทั้งหลาย พวกใดพวกหนึ่ง ... ซึ่งเป็นผู้ใคร่ ในการศึกษา เหล่านั้นจักเป็นผู้ประเสริฐสุดยอด ดังนี้แล
จบคามกัณฑ์
ใน มหาปรินิพพานสูตร.
มกุฏพันธนเจดีย์ สถานที่ถวายพระเพลิง ใกล้เมืองกุสินาราครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า รับสั่งกะท่านพระอานนท์ ว่า ดูก่อนอานนท์ บางทีพวกเธอ จะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่าปาพจน์ มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของเรา ไม่มี ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมก็ดี วินัยก็ดี อันใด อันเราแสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้ว แก่พวกเธอธรรม และ วินัย อันนั้น ... จักเป็น "ศาสดาแห่งพวกเธอ" โดยกาลล่วงไป แห่งเรา
พระสูตรและอรรถกถาแปล ทีฆนิกาย มหาวรรคเล่มที่ ๒ ภาคที่ ๑ หน้า ๓๒๐.
มหาปรินิพพานสูตร
ณ สาลวโนทยาน ใกล้เมื่องกุสินารา เป็นสถานที่ "สิ้นสุดการเดินทาง" สิ้นสุด ... พระโอวาท สิ้นสุด ... พระพุทธกิจ สิ้นสุด ... พระชนม์ชีพ สิ้นสุด ... ภพชาติ ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลแด่คุณพ่อ คุณแม่ และสรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ปีเก่ากำลังจะผ่านไป ปีใหม่กำลังจะมาถึง (เมื่อปีที่แล้ว ก็เป็นอย่างนี้ ถอยกลับไปปีที่แล้วๆ มาก็เป็นอย่างนี้) ชีวิตของแต่ละบุคคลมีแต่จะเดินหน้าไปอย่างเดียวไม่สามารถย้อนกลับมาเป็นเหมือนอย่างในอดีตได้ เปรียบเหมือนกับก้อนเมฆเมื่อตั้งขึ้นแล้ว มีแต่จะล่องลอยไปตามลมถ่ายเดียว กาลเวลาล่วงไปๆ ชีวิตของแต่ละบุคคล ย่อมใกล้ต่อความตายเข้าไปทุกทีๆ จะมีอะไรเป็นที่พึ่งในชีวิตได้ นอกจากการศึกษาพระธรรมฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน โดยที่ไม่ล่วงเลยขณะที่จะเป็นเหตุทำให้ปัญญาของตนเองเจริญขึ้น เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมไปตามลำดับ กุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ก็จะเจริญขึ้นตามระดับของปัญญาด้วย กาย วาจา และ ใจย่อมเป็นไปในทางที่ดีงามเพิ่มขึ้น ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ ๔๕๓ - ๔๕๔
“ชนเหล่าใด เกิดในมนุษยโลกแล้ว เมื่อพระตถาคตทรงประกาศ สัทธรรม ไม่เข้าถึงขณะ ชนเหล่านั้น ชื่อว่าล่วงขณะ ชนเป็นอันมาก กล่าว เวลาที่เสียไปว่า กระทำอันตรายแก่ตน พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ในกาลบางครั้งบางคราว การที่พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ๑ การได้กำเนิดเป็นมนุษย์ ๑ การแสดงสัทธรรม ๑ ที่จะพร้อมกันเข้าได้ หาได้ยากในโลก ชนผู้ใคร่ประโยชน์ จึงควรพยายามในกาลดังกล่าวมานั้น ที่ตนพอจะรู้ จะเข้าใจสัทธรรมได้ ขณะอย่าล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะบุคคลที่ปล่อยเวลาให้ล่วงไป พากันยัดเยียดในนรก ย่อมเศร้าโศก”
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ ไม่ว่าจะโอกาสใดๆ ก็ตาม อย่าได้ล่วงขณะที่จะได้ฟังพระธรรมให้เข้าใจ
ปีใหม่นี้ขอกราบระลึกในพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ ท่านวิทยากรและกัลยาณมิตรทุกๆ ท่าน ขอเอาความตั้งใจฟังและเข้าใจในพระธรรมมิให้ล่วงขณะ เป็นเครื่องบูชาท่านอาจารย์สุจินต์และท่านวิทยากร ในปี ๒๕๕๓ นี้ ครับ
วันคืนที่ล่วงไป ... ก็จะเป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง (ดังที่ท่านอาจารย์สุจินต์ได้กล่าวให้ฟังบ่อยๆ) ขอทำความดีตลอดปี๒๕๕๓และตลอดไป ... เพื่อตอบแทนพระคุณของท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพอย่างสูงและท่านวิทยากรของมูลนิธิทุกท่านค่ะ
สคส ๒๕๕๓
เหตุนำความสุขมา คนทั่วไปเข้าใจว่าความสุขเกิดจากการได้รับสิ่งที่ดี ที่น่าปรารถนา แท้จริงเป็นเพียงชั่วขณะที่เห็นสิ่งที่ดี หรือได้ยินเสียงไพเราะ หรือได้กลิ่นหอมๆ หรือได้ลิ้มรสอร่อย หรือได้กระทบสัมผัสที่ดี ความสุขเหล่านี้พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ชั่วคราว มีแล้วก็หมดไป แต่ความสุขที่แท้จริงเพื่อความพ้นทุกข์ มาจากความเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย การได้ฟังธรรมที่สัตบุรุษแสดง ความพร้อมเพรียง (กันทำกิจที่ควรทำ) ของหมู่ ความเพียร (ชอบ) ของชนผู้พร้อมเพรียงกัน
จากพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เรื่องสัมพหุลภิกขุ
ยถา ทณฺเฑน โคปาโล คาโว ปาเชติ โคจรํ เอวํ ชรา จ มจฺจุ จ อายุ ปาเชนติ ปาณินํ
นายโคบาล ย่อมต้อนโคทั้งหลายไปสู่ที่หากินด้วยท่อนไม้ ฉันใด ชรา และ มัจจุ ย่อมต้อนอายุของสัตว์ทั้งหลายไป ฉันนั้น (คาถาธรรมบท)
วัน คืน ก็ล่วงไปอีกปี ไม่รู้ว่าจะยินดี หรือ หวั่นไหว แต่ไม่ว่าจะเป็นวันอะไร สภาพธรรมก็มีปรากฏ แล้วก็ดับไปทุกขณะอย่างรวดเร็วตลอดเวลา ทำไมจึงติดข้อง ในสิ่งที่เพียงปรากฏ
เริ่มปี 2553 ปีใหม่ในบัญญัติ
กราบขอบพระกรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณของ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
กราบขอบพระคุณในเมตตาจิต และอนุโมทนาในกุศลจิตของ ท่านอาจารย์สุจินต์ ท่านอาจารย์อรรณพ ท่านอาจารย์ธิดารัตน์ และวิทยากร รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน
เริ่มจากการฟังเรื่อง และต่อไป ที่ความรู้และความเข้าใน ความรู้ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล สิ่งใดสิ่งหนึ่ง และความเข้าใจที่จะรู้ตรงลักษณะสภาพธรรมที่เพียงปรากฏ ในแต่ละขณะ และดับไป เมื่อสักครู่ ก็ไม่สามารถเกิดเหมือนเดิมได้ รู้ได้เมื่อปรากฏเท่านั้นและดับไป ไม่มีสิ่งใดให้ควรแก่การยึดถือ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เห็นแล้ว ได้ยิน .. แล้วพอใจหรือไม่พอใจหรือไม่ เพราะนั่นเป็นเพียงธรรมะ ที่ปรากฏแต่ละขณะ วิบากใดที่เกิดขึ้น ทำให้เข้าใจกรรมที่ทำมา ไม่ต้องท้อถอย ไม่ต้องกังวล แต่พื้นฐานในเรื่องกุศลกรรมที่เรียนมา ก็ควรเพียรจะทำกุศล ตามระดับปัญญาที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น เพราะถึงที่สุดคือการฟังที่จะเข้าใจ ที่เพียรที่จะสะสมความเข้าใจต่อไป เพื่อการละ ไม่ใช่ด้วยการติด ด้วยความเข้าใจ เริ่มต้นจากตรงนี้ เท่าที่สามารถ ณ ขณะนี้ ด้วยความเมตตาจากทุกท่านที่กล่าวมาทั้งหมด
ขออนุโมทนาสาธุค่ะ ^/^
ปีใหม่ ก็เพียงคำบัญญัติ ไม่มีสภาวธรรม เพราะฉะนั้น ทุกๆ ขณะที่เกิดขึ้น อย่าปล่อยให้ล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์ ควรอบรมเจริญกุศลทุกประการ
เชิญคลิกอ่านได้ที่...
ไม่ควรล่วงเลยขณะที่ได้ฟังพระธรรม
ขออนุโมทนาค่ะ
"พร คือ ความตั้งใจที่จะทำกุศล"
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
การที่พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ๑ การได้กำเนิดเป็นมนุษย์ ๑ การแสดงสัทธรรม ๑ ที่จะพร้อมกันเข้าได้ หาได้ยากในโลก ชนผู้ใคร่ประโยชน์ จึงควรพยายามในกาลดังกล่าวมานั้นที่ตน พอจะรู้ จะเข้าใจสัทธรรมได้ ขณะอย่าล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะบุคคลที่ปล่อยเวลาให้ล่วงไป พากันยัดเยียดในนรก ย่อมเศร้าโศก
เข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง ได้อ่าน ค่อยๆ เข้าใจ ทีละเล็กละน้อย พระธรรมลึกซึ้ง เมื่อเข้าใจก็จะเข้าถึงความไพเราะและความละเอียด จึงไม่ควรคิดเอง และให้มั่นคงว่า ธรรมะคือ ขณะนี้ รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏนั้นคือ ธรรมะ ไม่ใช่เรา จนทั่วทุกทวาร อดทนที่จะฟังต่อไปๆ เพื่อปัญญาเจริญขึ้นๆ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาที่คุณแก้วตาตั้งกระทู้นี้ เนื่องจากกำลังประสบปัญหาเรื่องการทะเลาะเบาะแว้ง พอมาอ่านธรรมะนี้ ก็สะดุดได้คิดขึ้นว่า
# รักษาผู้อื่น ย่อมชื่อว่า รักษาตนอย่างไร
# ก็เลยไม่ไปทะเลาะกับเขาต่อไป
ดังนั้น กระทู้ธรรมะที่ตั้งนั้นก็มีประโยชน์มากเหมือนกัน เมื่อก่อนก็อ่านไปเรื่อยๆ ๆ แต่พอตัวเองประสบปัญหานั้นเข้า พอได้อ่านพระธรรมก็ช่วยได้ค่ะ ขออนุโมทนา คุณแก้วตา ไว้ ณ โอกาสนี้ ขอให้มีความก้าวหน้า ในการเจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้น
ขออนุโมทนา และขอกราบขอบพระคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ ท่านวิทยากรทุกท่าน และกัลยาณมิตร ที่ได้ให้ธรรมะ ให้ความรู้ทางธรรม และได้นำไปใช้กับตนเอง คนใกล้เคียง และเพื่อนๆ ได้มากที่สุดค่ะ