อินเดีย ... อีกแล้ว 36 สถานที่ท่านพระเทวทัตถูกธรณีสูบ
สถานที่ท่านพระเทวทัตถูกธรณีสูบ
สถานที่ท่านพระเทวทัตถูกธรณีสูบนั้นอยู่ตรงบึงน้ำหน้าพระวิหารเชตวัน มีคนชี้ให้ดูว่า อยู่ตรงนั้น แต่ไม่ทราบสถานที่แน่นอน เพราะเป็นบึงน้ำ
เราได้ยินเรื่องของท่านพระเทวทัตตั้งแต่เด็ก รู้ว่าเป็นคนไม่ดี เป็นคนอกตัญญู เวลาที่ พูดถึงใครที่ไม่ดีมากๆ ชอบยุยงให้คนแตกกันบ้าง หรือไม่รู้คุณคน ก็จะบอกว่าเหมือน ท่านพระเทวทัต แต่เรื่องจริงๆ นั้นเป็นอย่างไร
ท่านพระเทวทัตเป็นโอรสของพระเจ้าสุปปพุทธะและพระนางอมิตตาเทวี แห่งโกลิย- วงศ์ กรุงเทวทหะ เป็นพระเชษฐาของพระนางยโสธราพิมพา ได้ออกบวชพร้อมกับพระ ญาติของพระผู้มีพระภาคอีก ๕ องค์ คือ ภัททิยะ อนุรุทธะ อานนท์ ภคุ กิมพิละ และอุ บาลี นายภูษามาลา ซึ่งล้วนได้คุณวิเศษ คือ ท่านพระภัททิยะเป็นพระอรหันต์ได้วิชชา ๓ ท่านพระอนุรุทธะ เป็นพระอรหันต์ผู้มีจักษุทิพย์ ท่านพระภคุและท่านพระกิมพิละ เจริญวิปัสสนาได้บรรลุพระอรหันต์ ท่านพระอานนท์ได้เป็นพระโสดาบัน ท่านพระ เทวทัตได้บรรลุฤทธิ์อันเป็นของปุถุชน
ในกาลต่อมาเมื่อพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่โกสัมพี ลาภและสักการะเป็นอันมากเกิด ขึ้นแด่พระผู้มีพระภาคและพระภิกษุสงฆ์ แต่ท่านพระเทวทัตไม่ได้ลาภสักการะนั้น จึง คิดการใหญ่ กลับไปกรุงราชคฤห์ แสดงฤทธิ์แก่อชาตศัตรูราชกุมารให้เกิดความ เลื่อมใส ลาภสักการะเป็นอันมากจึงเกิดแก่ท่านพระเทวทัต จนทำให้หลงติดคิดจะเป็น ผู้บริหารสงฆ์เสียเอง ยุยงให้ทำปิตุฆาต และตนเองก็พยายามปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า โดยการกลิ้งหินจากหน้าผาเขาคิชฌกูฏลงมาให้ทับพระพุทธเจ้า แต่พระองค์เพียงแต่ ห้อพระโลหิตที่ข้อพระบาท เมื่อไม่สำเร็จก็ให้ปล่อยช้างนาฬาคีรี แต่ท่านพระอานนท์ ยอมสละชีวิตของตนถวายพระศาสดา ได้ยืนขวางหน้าช้างไว้ ส่งนายขมังธนูมายิง พระองค์บ้าง เมื่อไม่สามารถปลงพระชนม์ของพระผู้มีพระภาคได้ จึงคิดจะแยกสงฆ์ ออกจากกัน ด้วยการทูลขอวัตถุ ๕ ประการ คือ ให้พระภิกษุสงฆ์จงอยู่ป่า เที่ยว บิณฑบาต ทรงผ้าบังสุกุล อยู่โคนไม้ อย่าพึงฉันปลาและเนื้อจนตลอดชีวิต ซึ่งเป็นข้อ ปฏิบัติที่อุกฤษณ์เกินไป เมื่อพระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต ทำให้คนที่เลื่อมใสในความ เศร้าหมองเข้าใจว่าวัตถุ ๕ ประการนั้นควรปฏิบัติ หันมาเลื่อมใสท่านพระเทวทัตพร้อม กับภิกษุผู้บวชใหม่ผู้เป็นบริวาร ๕๐๐ ลาภสักการะจึงบังเกิดขึ้น ต่อมาท่านพระเทวทัตก็ ขอแยกมาทำอุโบสถและสังฆกรรมต่างหาก เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบก็ตรัสพระ คาถาว่า
“กรรมทั้งหลายที่ไม่ดีและไม่เป็นประโยชน์แก่ตน ทำได้ง่าย กรรมใดแลเป็นประโยชน์ ด้วย ดีด้วย กรรมนั้นแล ทำได้ยากอย่างยิ่ง”
ทรงเปล่งอุทานอีกว่า
“กรรมดีคนดีทำได้ง่าย กรรมดีคนชั่วทำได้ยาก กรรมชั่วคนชั่วทำได้ง่าย กรรมชั่ว พระ อริยเจ้าทั้งหลายทำได้ยาก”
ต่อมาท่านพระเทวทัตพาภิกษุชาววัชชีผู้บวชใหม่ ๕๐๐ รูปไปที่คยาสีสะ พระผู้มีพระ ภาคทรงส่งพระอัครสาวกทั้ง ๒ ไปเพื่อตามภิกษุเหล่านั้นกลับมา ท่านทั้งสองแสดง ธรรม ภิกษุเหล่านั้นได้ดื่มอมตธรรมแล้ว ได้พามาทางอากาศ
เมื่อท่านพระเทวทัตทราบว่า ภิกษุบริวารของตนไปกับพระอัครสาวกทั้งสองแล้ว ก็ เสียใจมาก โลหิตอุ่นได้พลุ่งออกจากปาก นอนเป็นไข้อยู่ ๙ เดือน นึกถึงพระพุทธเจ้า ว่า แม้ตนจะอาฆาตพระผู้มีพระภาค แต่พระผู้มีพระภาคไม่มีความอาฆาตตอบเลย เพราะ พระผู้มีพระภาคนั้น “มีพระทัยสม่ำเสมอในบุคคลทั่วไป คือ ในนายขมังธนู ในพระ เทวทัต ในโจรองคุลิมาล ในช้างธนบาลและในพระราหุล”
จึงขอให้บริวารพาไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคที่พระวิหารเชตวัน บริวารของท่านพาท่านมา บนเตียงน้อย เมื่อถึงริมฝั่งสระโบกขรณีหน้าพระวิหารเชตวัน ท่านลุกจากเตียงแล้วนั่ง วางเท้าทั้ง ๒ บนพื้นดิน เท้าทั้งสองนั้นก็จมแผ่นดินลงโดยลำดับ เพียงเข่า เพียงเอว เพียงนม จนถึงคอ ในเวลาที่กระดูกคางจรดถึงพื้นดิน ท่านพระเทวทัตกล่าวคาถาว่า “ข้าพระองค์ขอถึงพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้เป็นบุคคลเลิศ เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ เป็น สารถีฝึกนรชน มีพระจักษุรอบคอบ มีพระลักษณะแต่ละอย่างเกิดดัวยบุญตั้งร้อย ว่าเป็น ที่พึ่งด้วยกระดูกเหล่านี้ พร้อมด้วยลมหายใจ”
เมื่อท่านสิ้นชีวิตก็เกิดในอเวจีมหานรก แต่หลังจากนั้นแล้วแสนกัป ด้วยกุศลที่ท่าน นมัสการพระผู้มีพระภาคด้วยกระดูกคางและลมหายใจนั้น ท่านจะเป็นพระปัจเจก พุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคผู้มีพระอนาคตังสญาณจึงให้ท่านบวช เพราะแม้จะ ทำกรรมหนัก แต่ก็ยังได้ทำกุศลที่เป็นปัจจัยให้ได้สะสมปัญญาจนกระทั่งเป็นพระปัจเจก พุทธเจ้า ถ้าไม่ได้บวชท่านก็จะทำกรรมหนักแต่ไม่มีกุศลที่เป็นปัจจัยในภพต่อไป ท่านพระเทวทัตได้ผูกอาฆาตพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่สมัยที่เป็นพ่อค้าเร่ด้วยกัน เวลา นั้นท่านทั้งสองไปขายของตามหมู่บ้าน แยกกันไปคนละถนน เมื่อท่านพระเทวทัตไปถึง บ้านยายและหลานซึ่งเป็นเศรษฐีตกยาก หลานสาวอยากซื้อเครื่องประดับ จึงไปนำ ถาดเก่าคร่ำคร่ามาแลก ท่านพระเทวทัตขีดด้วยดูด้วยเข็ม ก็รู้ว่าเป็นทองคำราคาเป็น แสนกหาปนะ แต่ทำเป็นไม่สนใจ โยนถาดนั้นไปบนพื้น แล้วออกไป ต่อมาพระ โพธิสัตว์ก็มาขายต่อ เมื่อหลานสาวนำถาดมาให้ดู ก็บอกความจริง พร้อมกับให้เงินและ ของทั้งหมดที่มีแลกกับถาดทองคำนั้น เมื่อท่านพระเทวทัตย้อนกลับมา ทราบว่าพระ โพธิสัตว์ได้ถาดไปแล้ว ก็โกรธมาก ตามไปเห็นพระโพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำไปแล้ว ท่าน โกรธจนโลหิตพลุ่งออกจากปากเช่นกัน ก่อนสิ้นชีวิตได้ผูกอาฆาตพระโพธิสัตว์ตั้งแต่ นั้นมา
หลังจากนั้นท่านก็จองเวรกับพระโพธิสัตว์มาตลอด จนถูกธรณีสูบหลายครั้ง เรื่องหนึ่ง ที่จำได้ดี คือ เรื่องขันติวาทีดาบส ที่ท่านอาจารย์นำมาบรรยาย
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงชาดกเกี่ยวกับความอาฆาตของท่านพระเทวทัตหลายเรื่อง แต่ก็ไม่สามารถทำร้ายพระผู้มีพระภาคได้ ในที่สุดก็ถูกธรณีสูบบ้าง หรือประสบความ หายนะอื่นๆ บ้าง
เมื่อท่านพระเทวทัตถูกธรณีสูบแล้ว พวกมหาชนก็พากันร่าเริงยินดี เฉลิมฉลองใหญ่ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่ใช่เพียงในครั้งนี้เท่านั้นที่มหาชนยินดีในการตายของ ท่านพระเทวทัต แม้ในอดีตเมื่อท่านเป็นพระราชาพระนามว่า ปิงคิละ เป็นผู้ดุร้าย หยาบ ช้า ไม่เป็นที่รักของมหาชน เมื่อสวรรคตแล้ว มหาชนก็พากันเฉลิมฉลอง มีแต่นายประตู คนเดียวเท่านั้นที่ร้องไห้ เมื่อพระโพธิสัตว์สอบถาม เขาตอบว่า “ข้าพระองค์กลัวแต่การ เสด็จกลับมาของพระราชานั้น ด้วยว่าพระราชาพระองค์นั้นเสด็จไปจากที่นี้แล้ว พึง เบียดเบียนมัจจุราช มัจจุราชนั้นถูกเบียดเบียนแล้ว พึงนำพระองค์กลับมาที่นี้อีก” จากเรื่องของท่านพระเทวทัตทำให้เห็นว่า ผู้ที่ผูกอาฆาตนั้นเดือดร้อนอยู่คนเดียว คน ที่ถูกผูกอาฆาตเมื่อไม่อาฆาตตอบ ก็ไม่มีความทุกข์ใจ เป็นปกติสุขสบายดี และผลของ การอาฆาตของคนอื่นนั้นก็ไม่สามารถทำอันตรายตนได้ ถ้าจะมีอันตราย ก็เป็นเพราะ อกุศลกรรมของตนที่ทำไว้แล้วนั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงควรหนักแน่นในเรื่องกรรมและผล ของกรรมยิ่งขึ้น
ขอเรียนถามค่ะ
จากข้อความข้างบนที่ได้กล่าวว่า ท่านพระเทวทัต ได้บรรลุฤทธิ์ อันเป็นของปุถุชน ข้อความนี้ หมายความว่า ทั้งชีวิตของท่านพระเทวทัต ท่านยังไม่ได้บรรลุกระทั่งแม้แต่พระโสดาบัน ถูกต้องหรือไม่คะ
เรียนความเห็นที่ ๑
ถูกต้องครับท่านพระเทวทัต ได้บรรลุฤทธิ์ อันเป็นของปุถุชน ท่านยังไม่ได้สำเร็จ
เป็นพระอริยบุคคล ท่านจึงเกิดในนรกเพราะอกุศลกรรม..
จากเรื่องของท่านพระเทวทัตทำให้เห็นว่า ผู้ที่ผูกอาฆาตนั้นเดือดร้อนอยู่คนเดียว คน
ที่ถูกผูกอาฆาตเมื่อไม่อาฆาตตอบ ก็ไม่มีความทุกข์ใจ เป็นปกติสุขสบายดี และผลของ
การอาฆาตของคนอื่นนั้นก็ไม่สามารถทำอันตรายตนได้ ถ้าจะมีอันตราย ก็เป็นเพราะ
อกุศลกรรมของตนที่ทำไว้แล้วนั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงควรหนักแน่นในเรื่องกรรมและผล
ของกรรมยิ่งขึ้น
ขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ