อินเดีย ... อีกแล้ว 41 พระมูลคันธกุฎีวิหาร

 
kanchana.c
วันที่  1 ม.ค. 2553
หมายเลข  14952
อ่าน  4,457

พระมูลคันธกุฎีวิหาร

วันนี้เป็นวันสุดท้ายในอินเดีย จึงตื่นแต่เช้าเพื่อไปชมแม่น้ำคงคา แม้จะไปมาแล้ว หลายครั้ง ก็ยังอยากไปดูบรรยากาศที่เปลี่ยนไป รถตู้พามาจอดใกล้ๆ ท่าเรือ ต้องเดิน ผ่านผู้คนที่ยังนอนหลับอยู่ริมถนน ผ่านตลาดที่ขายของสารพัด มีทั้งผัก ผลไม้ ไม้สี ฟัน และอาชีพหนึ่งที่ขาดไม่ได้ คือ ขอทาน เป็นที่ดูกรรมและผลของกรรมจริงๆ เวลา เดินต้องระวัง อย่าเพลินดูแต่สินค้า ต้องคอยเดินหลบหลีกน้ำหมาก น้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระที่เห็นอยู่ตามถนน ถนนของอินเดียนี่สร้างมาใช้อย่างคุ้มค่าจริงๆ

คราวนี้ได้ลงเรือลำใหญ่กับสหายธรรมหลายคน มีผู้คนมาอาบน้ำล้างบาปมากมายเช่น เคย ได้ถ่ายภาพร่วมกันในเรือเมื่อเห็นพระอาทิตย์ขึ้น ก็สนุกไปอีกแบบ

เมื่อรับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมแล้ว ได้เวลาไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุที่ มูลคันธกุฎีวิหาร ที่สารนาถ ซึ่งห่างออกไปจากโรงแรมประมาณ ๑๒ กม.

ผู้คนเข้าแถวเพื่อรอไปนมัสการยาวเหยียดจนออกไปเกือบถึงถนน คณะของท่าน อาจารย์มานั่งรอในพระวิหารแล้ว พวกเราจึงเข้าประตูข้าง ไปนั่งใกล้ๆ กับคณะของท่าน มีพระและสามเณรธิเบตมากมายเข้าแถวเช่นกัน

ได้ยินเณรองค์น้อยร้องไห้จ้าเหมือนเสียงเด็กทารก ปรากฏว่าท่านมากับเณรพี่ชายซึ่งก็ ยังเด็กมากเหมือนกัน แล้วไม่เห็นกัน เมื่อมีคนพาท่านมาหาเณรพี่ชาย พี่ชายท่านตบ หน้าเปรี้ยงทีเดียว หยุดร้องไห้เลย น่าสงสารจัง ทำไมต้องตบกันด้วย หรือจะเป็นวิธีสอน ตามแบบนิกายของท่านก็ได้ ซึ่งก็ได้ผลเหมือนกัน

ระหว่างนั่งรอ คณะของเราก็นำขนมต่างๆ มาถวายเณรและพระ ขออนุโมทนาที่เตรียม พร้อมที่จะเจริญกุศลทุกเวลา

เมื่อถึงเวลา ก็ได้กราบนมัสการทีละคน พระท่านชี้ให้ดูพระบรมสารีริกธาตุด้วย แต่ต้อง เป็นไปอย่างรวดเร็ว เพราะมีผู้คนอีกมากมายคอยนมัสการอยู่ ได้ยินว่าวันนี้เป็นวัน สำคัญประจำปีของสมาคมมหาโพธิ์ จึงมีผู้คนมากมายกว่าทุกครั้ง น่าปลื้มใจที่พระพุทธ ศาสนากลับมารุ่งเรืองในอินเดียอีกครั้ง แม้ว่าคนที่มานั้นจะไม่ใช่ชาวอินเดีย แต่ประเทศ อินเดียก็เป็นสถานที่รวบรวมหลักฐานทางประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาไว้มากมาย สม กับชื่อว่า อินเดีย ... แดนพุทธภูมิ

จะเห็นว่าความเข้าใจพระธรรม คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่ได้ขึ้น กับเชื้อชาติ หรือสถานที่เลย แต่ขึ้นอยู่กับการสะสมปัญญามาพอที่จะเข้าใจพระธรรมที่ สุขุมลุ่มลึก ยากจะรู้ตามเช่นนี้ ได้หรือไม่ แม้ชาวพุทธเองก็ยังแบ่งแยกออกไปหลาย นิกาย นำคำสอนของพระองค์ไปประยุกต์ตามความเชื่อ ความเข้าใจของตน แม้แต่ นิกายเดียวกัน ความเข้าใจที่ไม่ลึกซึ้งพอ ก็ยังนำพระธรรมมาสอนตามความเข้าใจของ ตน และมีผู้นับถือมากมาย แต่อย่าลืมว่า พระพุทธศาสนานั้นคือศาสนาของผู้รู้ เมื่อไม่รู้ จริง ก็เป็นเพียงความเชื่ออย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่พระพุทธศาสนา พระธรรมคำสอนนั้น ไม่สาธารณะสำหรับทุกคนจริงๆ แม้ในครั้งพุทธกาลก็ยังมีความเชื่อหลากหลาย บัดนี้ เวลาผ่านไปสองพันกว่าปี จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เหตุการณ์ของครูทั้ง ๖ ในสมัย พุทธกาลก็ยังมีปรากฏอยู่

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผย แพร่พระพุทธศาสนา ที่ท่านอุทิศตนทั้งชีวิตศึกษาและเผยแพร่พระธรรมที่รู้ตามได้ยาก นี้มาสู่พวกเรา แม้จะต้องขัดแย้งกับกลุ่มคนต่างๆ ที่มีความเห็นไม่ตรงกัน แต่ท่านก็ยืน หยัดในความถูกต้องมาโดยตลอด ทำให้เราได้ยินได้ฟังพอเข้าใจได้ว่า ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตานั้นต้องเป็นอนัตตาแต่เริ่มต้นทีเดียว ไม่ใช่ไปบังคับว่าต้องมีวิธีทำอย่างนั้น อย่างนี้ ปัญญาจึงจะเกิด แต่เพราะศึกษาพระธรรมมากพอที่จะเข้าใจคำสอน เช่น คำว่า โลกในวินัยของพระอริยเจ้านั้น คือ แยกโลกที่รวมกันเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลนี้ ออกเป็นโลก ๖ ทาง คือ โลกทางตา โลกทางหู โลกทางจมูก โลกทางลิ้น โลกทาง กาย โลกทางใจ จึงจะเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง แล้วปัญญาจึงจะรู้ชัดในลักษณะนั้นๆ ตรง ตามที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกว่า ทุกอย่างเป็นธรรม และธรรมนั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ บุคคล ไม่ใช่ตัวตน คืออย่างไร

ขอบพระคุณผู้ติดตามอ่านและเขียนให้กำลังใจทุกท่าน ขอบคุณตากล้องฝีมือดี คุณ วันชัย ภู่งาม (วันชัย๒๕๐๔) ที่ใส่ภาพประกอบที่เหมาะเจาะ รู้ใจราวกับผู้เขียนถ่ายเอง ขอบคุณคนใกล้ตัว รศ.สงบ เชื้อทอง ที่นอกจากจะช่วยค้นหาข้อมูล พิสูจน์อักษร วิจารณ์ แล้วยังคอยลุ้นให้เขียนจนจบ ด้วยการแสร้งทำว่า เขียนได้น่าติดตามมาก จน ต้องคอยอ่านต้นฉบับทุกวัน ซึ่งวิธีนี้ก็ได้ผล ทำให้คนบ้ายอเขียนจบจนได้ แม้จะใช้ เวลานานไปหน่อยก็ตาม

ขอบคุณผู้ตั้งชื่อเรื่องให้ใหม่ว่า อินเดีย ... แดนพุทธภูมิ ทราบ แล้วว่าท่านคือ อาจารย์ฉัตรชัย กิตติพรชัย แห่งบ้านธัมมะ และที่สำคัญที่ลืมไม่ได้คือ www.dhammahome.com ที่เปิดโอกาสให้เล่าประสบการณ์การไปจาริกแสวงบุญ ครั้งนี้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
พุทธรักษา
วันที่ 1 ม.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 1 ม.ค. 2553

" ... แต่อย่าลืมว่า พระพุทธศาสนานั้นคือศาสนาของผู้รู้ เมื่อไม่รู้ จริง ก็เป็นเพียงความเชื่ออย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่พระพุทธศาสนา พระธรรมคำสอนนั้น ไม่สาธารณะสำหรับทุกคนจริงๆ ... "

และ

" ... ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตานั้นต้องเป็นอนัตตาแต่เริ่มต้นทีเดียว ไม่ใช่ไปบังคับว่าต้องมีวิธีทำอย่างนั้น อย่างนี้ ปัญญาจึงจะเกิด แต่เพราะศึกษาพระธรรมมากพอที่จะเข้าใจคำสอน ...

... จึงจะเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง แล้วปัญญาจึงจะรู้ชัดในลักษณะนั้นๆ ตรง ตามที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกว่า ทุกอย่างเป็นธรรม และ ธรรมนั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ บุคคล ไม่ใช่ตัวตน คืออย่างไร ... "

กราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่แดงด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paew_int
วันที่ 1 ม.ค. 2553
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
aditap
วันที่ 1 ม.ค. 2553
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาจากใจครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jangthi
วันที่ 1 ม.ค. 2553

หนูว่าอ่านแล้วเข้าใจดีเห็นภาพ แทบไม่ต้องดูรูป น่าติดตาม ใช้ภาษาสละสลวยที่สวยงามมากและหนูก็ชอบมากค่ะ เป็นภาษาที่แสดงถึงความจริงใจที่สัมผัสได้ ขอความกรุณาช่วยเขียนต่อไปนะคะจะคอยติดตามและเป็นกำลังใจให้ค่ะ

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนามากค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 1 ม.ค. 2553

" ... ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตานั้น ต้องเป็นอนัตตาแต่เริ่มต้นทีเดียว

ไม่ใช่ไปบังคับว่าต้องมีวิธีทำอย่างนั้น อย่างนี้ ปัญญาจึงจะเกิด แต่เพราะศึกษาพระธรรมมากพอที่จะเข้าใจคำสอน ...

... จึงจะเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง แล้วปัญญาจึงจะรู้ชัดในลักษณะนั้นๆ ตรง ตามที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกว่า ทุกอย่างเป็นธรรม และ ธรรมนั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ บุคคล ไม่ใช่ตัวตน คืออย่างไร ... "

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษา และเผยแพร่พระพุทธศาสนา ที่ท่านอุทิศตนทั้งชีวิตศึกษา และเผยแพร่พระธรรมที่รู้ตามได้ยากนี้มาสู่พวกเรา

กราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่แดงด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 4 ม.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
dron
วันที่ 7 ม.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
วิริยะ
วันที่ 7 ม.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
pondhip
วันที่ 8 ม.ค. 2553

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
คุณ
วันที่ 9 ม.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
hiriotappa
วันที่ 10 ม.ค. 2553

`กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ป้าจาย
วันที่ 11 ม.ค. 2553

อ่านได้ อ่านดี อย่างที่เคย อนุโมทนาค่ะ หรือ ได้อ่าน ได้ดี ตามคุณแดงไปด้วย

ขอบคุณมากค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
bsomsuda
วันที่ 13 ม.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะพี่แดง

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
bsomsuda
วันที่ 13 ม.ค. 2553

คำว่าโลกในวินัยของพระอริยเจ้านั้น คือ แยกโลกที่รวมกันเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลนี้ออกเป็นโลก ๖ ทาง คือ โลกทางตา โลกทางหู โลกทางจมูก โลกทางลิ้น โลกทางกาย โลกทางใจ จึงจะเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง แล้วปัญญาจึงจะรู้ชัดในลักษณะนั้นๆ ตรงตามที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกว่า ทุกอย่างเป็นธรรม และธรรมนั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน คืออย่างไร

ขอขอบพระคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 19 ม.ค. 2553

ก็ไปมาอีกแล้วพร้อม kanchana.c ไม่เคยเบื่อเลยอินเดีย ... มีโอกาสจะไปอีก ... ก็อินเดีย ... อีกแล้ว (เหมือนกันคะ) ... แต่ถึงไม่ไปก็คงได้อ่านสำนวนเขียน ที่ถ่ายทอดได้ อย่างละเอียด ... สนุก ได้รับความรู้แทรกธรรมะ แม้ได้ไปเองก็ยังไม่เท่าที่ได้รับการอ่าน

โดย kanchana.c ... ขออนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
สุภาพร
วันที่ 4 ก.พ. 2553

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
rojanasak
วันที่ 10 ก.พ. 2553

ขออนุโมทนาบุญอันบริสุทธิ์ทุกประการณ์ด้วยครับ อยากไปและไม่อยากไปจะว่าเฉยๆ ก็ได้แต่ถ้าได้ไปก็เป็นบุญ ขอปฏิบัติบูชาด้วยด้อยปัจจัยค่าเดินทาง

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
varintorntip
วันที่ 11 ก.พ. 2553

anumotanami doey ka ...

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
paew_int
วันที่ 18 ก.พ. 2553

ได้อ่านบทความอินเดียหลายตอน..เป็นความโชคดีได้ไปอินเดียมา ... ได้เตรียมความพร้อมจิดใจ ... จิตเกิดกุศล ... ได้ไปอินเดีย 4-11 ก.พ. 53 ทุกสิ่งที่ได้เห็นที่อินเดียดีทุกประการ ... ประทับใจจริงจริง ... และจะกลับไปที่อินเดียอีกหลายหลายครั้ง ...

ขออนุโมทนาอีกครั้งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
homenumber5
วันที่ 21 มี.ค. 2553

ได้ยินว่าวันนี้เป็นวันสำคัญประจำปีของสมาคมมหาโพธิ์ จึงมีผู้คนมากมายกว่าทุกครั้ง

ขอเรียนถามว่า วันนี้ คือวันที่เท่าไร เดือน ปี มีทุกปีไหมคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
prachern.s
วันที่ 21 มี.ค. 2553

เรียนคุณ homenumber5

เท่าที่จำได้ วันนั้นตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบสองครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
อนุโมทนา
วันที่ 19 เม.ย. 2553

ขอถามว่า ขณะที่ได้กราบปูชนียสถานต่างๆ กับการกราบพระพุทธรูปที่บ้าน จิตระลึกถึง ต่างกันอย่างไร มีความทราบซึ้งต่างกันอย่างไร

ขอขอบพระคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 24  
 
somphop
วันที่ 8 ก.ค. 2553

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 25  
 
somphop
วันที่ 22 ก.ค. 2553

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 26  
 
สุรศักดิ์
วันที่ 22 ต.ค. 2553
ขออนุโมทนาครับ ถ่ายทอดได้น่าอ่าน น่าติดตาม
 
  ความคิดเห็นที่ 27  
 
apinya313
วันที่ 1 ธ.ค. 2553
กราบอนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 28  
 
NattapatTPHoot
วันที่ 14 ธ.ค. 2553
ขอร่วมอนุโมทนาบุญด้วยนะครับ เห็นแล้ว อยากจะไปแสวงบุญที่ดินแดนนี้จังเลยครับ ^_^
 
  ความคิดเห็นที่ 29  
 
guy
วันที่ 15 มี.ค. 2554

อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 30  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 6 เม.ย. 2554
ขอขอบคุณและขออนุโมทนาที่ได้เขียนพร้อมมีภาพค้วยขอขอบคุณในกุศลจิตครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 31  
 
loongtee2012
วันที่ 27 เม.ย. 2555

ผมเป็นสมาชิกใหม่วันนี้เองครับ อ่านคอลัมน์นี้เป็นคอลัมน์แรก เขียนดีถึงขนาด เคยอ่านจากเว็บต่างๆ มาหลายเว็บ แต่คอลัมน์นี้เขียนโดนใจดีมากครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 32  
 
thassanee
วันที่ 6 ก.ย. 2555

ขอขอบคุณผู้เขียนและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 33  
 
boonpoj
วันที่ 22 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 34  
 
Naza
วันที่ 30 ก.ค. 2566

เขียนได้น่าอ่าน สำนวนน่าฟังเหมือนคุยกัน เล่าให้ฟังและคนอ่านก็คิดตามด้วยจิตที่เป็นกุศล ตามเหตุปัจจัยที่สะสมมาเพื่อเขียนให้ผู้ที่สะสมมาแล้วสนใจ ได้อ่าน

ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ