จริยาวัตรของจูฬโพธิปริพาชก [จูฬโพธิจริยา]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 275
๔. จูฬโพธิจริยา ว่าด้วยจริยาวัตรของจูฬโพธิปริพาชก [๑๔] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นบริพาชก ชื่อจูฬโพธิ มีศีล
งาม เราเห็นภพโดยเป็นสิ่งน่ากลัว จึงออกบวชเป็นดาบส นางพราหมณ์ผู้มีผิว
พรรณดังทองคำ ซึ่งเป็นภรรยาของเรา แม้นางก็มิได้อาลัยในวัฏฏะ ออก
บวชเป็นตาปสินี เราทั้งสองไม่มีความอาลัย ตัดพวกพ้องขาด ไม่ห่วงใยใน
ตระกูล และหมู่ญาติเที่ยวไปยังบ้านและนิคม มาถึงยังพระนครพาราณสี เราทั้งสองอยู่ ณ ที่นั้น มีปัญญาไม่เกี่ยวข้องในตระกูลและคณะ เราทั้งสองอยู่ในพระราชอุทยานอันไม่เกลื่อนกล่น สงัดเสียง พระราชาเสด็จทอดพระเนตร
พระราชอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเห็นนางพราหมณีจึงเสด็จเข้ามาหาเราแล้ว
ตรัสถามว่า นางพราหมณีคนนี้เป็นอะไรกับท่าน เป็นภริยาของใคร เมื่อ
พระราชาตรัสถามอย่างนี้ เราได้ทูลแก่พระองค์ดังนี้ว่า นางพราหมณีนี้มิใช่ภริยาของอาตมภาพ เป็นผู้ประพฤติธรรมร่วมกัน เป็นผู้มีคำสอนร่วมกัน พระ
ราชาทรงกำหนัดหนักหน่วงในนางพราหมณีนั้น จึงรับสั่งให้พวกราชบุรุษ
จับ ทรงบีบคั้นด้วยกำลัง สั่งให้นำเข้าไปยังภายในพระนคร เมื่อภริยาเก่าของเราเกิดร่วมกัน มีคำสอนร่วมกันถูกฉุดคร่าไป ความโกรธพึงเกิดแก่เรา
เราระลึกถึงศีลวัตรได้พร้อมกับความโกรธที่เกิดขึ้น เราข่มความโกรธได้ ณ ที่
นั้นเอง ไม่ให้มันเจริญขึ้นไปอีก ถ้าใครๆ พึงเอาหอกอันคมกริบแทงนาง
พราหมณีนั้น เราก็ไม่พึงทำลายศีลของเราเลย เพราะเหตุแห่งโพธิญาณเท่านั้น เราจักเกลียดนางพราหมณีนั้น ก็หามิได้ และเราจะไม่มีกำลังก็หามิได้
เพราะพระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา ฉะนั้น เราจึงรักษาศีลไว้ ฉะนี้แล. จบ จูฬโพธิจริยาที่ ๔