วิมานตั่งทอง (2)
[เล่มที่ 48] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 11
ปฐมปีฐวิมาน
สมัยต่อมาจากนั้น สตรีผู้นั้นเกิดโรคอย่างหนึ่งตาย ไปบังเกิดในวิมานทองขนาด ๑๒ โยชน์ ภพดาวดึงส์ นางมีเทพอัปสร ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร ก็ด้วยอำนาจที่นางถวายตั่งเป็นทาน จึงบังเกิดบัลลังก์ [เตียง ตั่ง แท่น] ทอง ลอยไปในอากาศแล่นเร็ว ชั้นบนมีราชรถทรวดทรงดังเรือนยอด ด้วยเหตุนั้น วิมานนี้จึงเรียกว่า ปีฐวิมาน แท้จริงวิมานตั่งนั้น เป็นทองส่องให้เห็นความเหมาะสมกับกรรม เพราะนางลาดผ้าสีทองถวาย ชื่อว่า แล่นไปเร็ว เพราะกำลังปีติแรง ชื่อว่า ไปได้ตามชอบใจ เพราะนางถวายแก่ทักขิไณยบุคคลโดยจิตชอบ ได้ชื่อว่าประกอบด้วยความงดงาม น่าเลื่อมใสพร้อมสรรพ เพราะสมบัติคือความเลื่อมใสโอฬาร
ต่อมาวันมหรสพวันหนึ่ง เมื่อเทวดาทั้งหลาย พากันไปสวนนันทนวัน เพื่อเล่นกรีฑาในอุทยาน ด้วยอานุภาพอันเป็นทิพย์ของตนๆ เทวดาองค์นั้น ทรงนุ่งผ้าทิพย์ประดับด้วยทิพยาภรณ์ มีเทพอัปสร ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร ก็ออกจากภพของตน ขึ้นสู่วิมานตั่งนั้น ส่องแสงสว่างดั่งดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์โดยรอบ ด้วยเทวฤทธิ์ยิ่งใหญ่ด้วยสิริโสภาคย์ตระการไปยังอุทยาน ก็สมัยนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ เที่ยวเทวจาริกไปโดยนัยที่กล่าวแล้วในหนหลัง เข้าไปยังภพดาวดึงส์ แสดงองค์ไม่ไกลจากเทวดาองค์นั้น เทวดาองค์นั้น เห็นท่านก็มีความเลื่อมใส มีความเคารพ มีกำลังพรั่งพร้อม จึงรีบลงจากบัลลังก์เข้าไปหาพระเถระ กราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้วยืนนมัสการประคองอัญชลีอันรุ่งเรืองด้วยทศนัขสโมธาน [ชุมนุม ๑๐ นิ้ว]
พระเถระเห็นประจักษ์ถึงกุศลและอกุศลตามที่เทวดาองค์นั้นและสัตว์เหล่าอื่นสั่งสมไว้ ด้วยความแตกฉานแห่ง กำลังปัญญา โดยอานุภาพแห่งยถากัมมูปคญาณ [ญาณที่รู้ถึงสัตว์ทั้งหลายเข้าถึงภพนั้นๆ ตามกรรม] ของท่าน เหมือนผลมะขามป้อม ที่วางไว้บนฝ่ามือ ก็จริงอยู่ ถึงอย่างนั้น เพราะเหตุที่ปัญญาทบทวนเฉพาะภพในอดีต และกรรมตามที่สั่งสมไว้ ส่วนมากสำเร็จโดยธรรมดาแก่เทวดาทั้งหลายในลำดับอุปปัตติภพเท่านั้นว่า เราจุติจากไหนหนอ จึงอุบัติในภพนี้ เราทำกุศลกรรมอะไรหนอ จึงได้สมบัตินี้ และญาณย่อมเกิดแก่เทวดานั้น ตามเป็นจริงฉะนั้น พระเถระประสงค์จะให้เทวดาองค์นั้นกล่าว กรรมที่ทำไว้แล้ว กระทำผลกรรมให้ประจักษ์แก่โลกพร้อมทั้งเทวโลก
ที่มา ...