ผู้วิกลจริต
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ควรทราบตามความเป็นจริงว่า ที่สมมติกันว่าเป็นคนเป็นสัตว์ เป็นคนวิกลจริตก็คือ จิต เจตสิก รูป ที่ประชุมรวมกันจึงบัญญัติว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ คนวิกลจริตก็มี จิต เจตสิก รูป เพียงแต่คนวิกลจริตนั้นมีอกุศลคือ โมหมูลจิตที่ประกอบด้วยความฟุ้งซ่านเกิดบ่อยมาก จนทำให้เป็นคนวิกลจริต
ประเด็นเรื่องการทำอกุศลกรรม เช่น การฆ่าสัตว์ เบียดเบียน เป็นต้น กรรมคืออะไร กรรมคือเจตนา กุศลกรรมก็คือ เจตนาที่เป็นไปในทางกุศล อกุศลกรรมก็คือเจตนาฝ่ายอกุศล เจตนาเกิดกับจิตทุกดวง แต่ขณะใดที่มีความตั้งใจที่เป็นไปในกุศลหรืออกุศลทางกาย วาจาก็เป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรม คนวิกลจริตนั้นก็มีจิต เมื่อมีจิตก็ต้องมีเจตนาเจตสิกด้วย ขณะที่คนวิกลจริตมีการฆ่า เบียดเบียน ต้องมีเจตนาที่จะฆ่าหรือเบียดเบียนด้วย เพราะเจตนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวง เพราะฉะนั้นเมื่อมีการทำอกุศลกรรมแล้ว ผลก็ต้องมีเมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็ต้องได้รับผล เช่นเดียวกับบุคคลอื่นไม่ว่าจะเป็นใครหากทำอกุศลกรรมแล้ว ก็ต้องได้รับผลเมื่อเหตุปัจจัยพร้อมครับ
อธิบายเรื่องแม้คนผู้ไม่รู้ก็สามารถทำอกุศลกรรมคือการฆ่าสัตว์ได้เพราะอาศัยความไม่รู้ นั่นแหละเป็นปัจจัยให้ทำการฆ่า ขณะที่มีการฆ่า ต้องมีเจตนาฆ่า เพราะฉะนั้นก็ต้องได้รับผลวิบาก เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมครับ
[เล่มที่ 17] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 557
ในจำนวนอกุศลธรรมทั้ง ๓ อย่างเหล่านั้น โลภะ ชื่อว่า เป็นอกุศลมูล เพราะตัวมันเองเป็นทั้งอกุศล เพราะอรรถว่า มีโทษและมีทุกข์เป็นวิบาก เป็นทั้งรากเหง้าของอกุศลธรรมเหล่านี้ มีปาณาติบาตเป็นต้นเพราะอรรถว่า เป็นสภาพแห่งสัมปยุตธรรของอกุศลบางเหล่า และเพราะอรรถว่า เป็นอุปนิสสยปัจจัยของอกุศลธรรมบางอย่าง สมจริง ตามคำที่ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า คุณ ผู้กำหนัดมากแล้ว ถูกราคะครอบงำแล้ว มีจิตถูกราคะรึงรัดแล้ว ย่อมฆ่าสัตว์มีชีวิตได้ ดังนี้ เป็นต้น แม้ในการที่โทสะและโมหะเป็นอกุศลมูล ก็มีนัยนี้เหมือนกัน อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ชีวิตของแต่ละบุคคลที่ดำเนินไป เป็นความเป็นไปของสภาพธรรม กล่าวคือ จิตเจตสิก รูป เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป เมื่อกล่าวถึงบุคคลผู้วิกลจริต (หรือเป็นบ้า) นั้น เป็นเครื่องเตือนให้เกิดการระลึกได้หรือไม่ เป็นเครื่องเตือนให้เป็นผู้ไม่ประมาทได้หรือเปล่า เพราะถ้าได้ศึกษาพระธรรมมีความเข้าใจไปตามลำดับแล้ว ก็จะทราบว่าขณะที่อกุศลจิตเกิดขึ้นนั้น ประกอบด้วยความไม่รู้ ประกอบด้วยความฟุ้งซ่านทุกครั้ง รวมถึงอกุศลเจตสิกอื่นๆ ตามสมควรแก่ประเภทของอกุศลจิตนั้นๆ ด้วย ควรหรือไม่ที่จะเป็นผู้ที่ไม่รู้ต่อไปด้วยการสะสมอกุศลมากขึ้นในชีวิตประจำวัน เพราะเหตุว่าเมื่อสะสมอกุศลมากขึ้นๆ จนกระทั่งมีกำลังมาก ย่อมสามารถล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ เบียดเบียนผู้อื่นได้เดือดร้อนได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนที่สมมติกันว่าไม่บ้าคือ เป็นคนปกติ หรือคนที่สมมติกันว่าเป็นบ้า ก็ตาม
ธรรม เป็นเรื่องจริง ตรง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อกุศล เป็นอกุศล ไม่ว่าจะเกิดกับใครก็ตาม กุศลก็เป็นกุศล ไม่ว่าจะเกิดกับใคร เกิดกับคนที่ตนเองรักใคร่ พอใจหรือ เกิดกับคนที่ไม่เป็นที่รัก ก็เป็นกุศล และ เมื่อถึงคราวที่กุศลให้ผล ก็ทำให้ได้รับแต่สิ่งที่ดี ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เท่านั้น ไม่มีทางเลยที่กุศล จะให้ผลในทางที่ไม่ดี ส่วนในทางตรงกันข้าม เมื่ออกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว ถึงคราวให้ผลก็ทำให้ได้รับแต่สิ่งที่ไม่น่าปรารถนาประการต่างๆ (ไม่เว้นใครเลย ตามกรรม) ซึ่งไม่มีใครทำให้เลย ถ้าหากว่าไม่ได้กระทำเหตุที่ไม่ดีไว้ ผลที่ไม่ดี ก็ย่อมไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นแล้ว ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต และไม่ประมาทกำลังของกิเลส พึ่งเป็นผู้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นที่พึ่งในชีวิตได้อย่างแท้จริง ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
เรียนถามค่ะ
ในทางโลก คนบ้า คนวิกลจริต เวลาทำผิดไม่ถือว่าผิด แต่ในทางธรรมนั้นเรียกว่าผิด เรียกว่าก่ออกุศลกรรม ต้องได้รับผล อยากทราบว่า คนบ้า คนวิกลจริตเช่นนั้น จะหลุดพ้นจากวงจรนี้ได้อย่างไร ต้องเกิดมาเป็นบ้าอีก ทำผิด คิดผิดอีก ฟังธรรมก็ไม่รู้เรื่อง โอกาสจะสร้างบุญ สร้างกุศลก็แสนยาก หรือต้องรอผลของกุศลกรรมในอดีตชาติในชาติใดชาติหนึ่งให้ผลเสียก่อน
เรียน ความคิดเห็นที่ 5
ตราบใดที่ยังวนเวียนอยู่ในวัฏฏะ โอกาสที่จะเป็นอย่างนั้น ก็ย่อมจะมีได้ (ไม่ว่าใครก็ตาม) เพราะยังเป็นผู้เต็มไปด้วยความหลง ความไม่รู้ (อวิชชา) สังสารวัฏฏ์ ก็จะยืดยาวต่อไปอีก ยากที่จะพ้นไปได้ เพราะฉะนั้นแล้ว จึงเป็นผู้ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีอะไรที่ครบทุกอย่าง ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ควรจะเป็นผู้แสวงหาประโยชน์จากการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในภพนี้ชาตินี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ (กระทำที่พึ่งให้แก่ตน) ด้วยการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาต่อไป เพื่อความเข้าใจในพระธรรมที่ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง เรื่องของคนอื่นก็เป็นเรื่องของคนอื่น แต่เรา ควรที่จะทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ครับ
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 15100 ความคิดเห็นที่ 5 โดย วิริยะ
เรียนถามค่ะ
ในทางโลก คนบ้า คนวิกลจริต เวลาทำผิดไม่ถือว่าผิด แต่ในทางธรรมนั้นเรียกว่าผิดเรียกว่า ก่ออกุศลกรรม ต้องได้รับผล อยากทราบว่า คนบ้า คนวิกลจริตเช่นนั้น จะหลุดพ้นจากวงจรนี้ได้อย่างไร ต้องเกิดมาเป็นบ้าอีก ทำผิด คิดผิดอีก ฟังธรรมก็ไม่รู้เรื่อง โอกาสจะสร้างบุญ สร้างกุศลก็แสนยาก หรือต้องรอผลของกุศลกรรมในอดีตชาติในชาติใดชาติหนึ่งให้ผลเสียก่อน คงต้องแยกประเด็นว่าในเรื่องคนบ้า วิกลจริต มีหลายประการ โดยทั่วไปแล้วคนบ้า เป็นผลของกรรมที่เกิดจากการดื่มสุราเมรัย เมื่อให้ผลหากเกิดเป็นมนุษย์ย่อมถึงความเป็นบ้า เมื่อกรรมดีให้ผลก็ไม่ถึงความเป็นบ้า ดังนั้นเพราะอกุศลกรรมเป็นปัจจัยทำให้ถึงความเป็นบ้า แต่เมื่อกรรมดีในอดีตให้ผลในภพต่อไปก็ไม่ถึงความเป็นบ้าครับตามที่คุณวิริยะได้กล่าวไว้ถูกแล้วครับ ที่ต้องรอให้ผลของกุศลกรรมในอดีตให้ผล แต่ประเด็นในเรื่องของความเป็นบ้ามีหลายประการ ไม่ใช่เกิดจากผลของกรรมเท่านั้น คือ เกิดจากความฟุ้งซ่านอันเกิดจากการสูญเสียของรัก เช่น นางปฏาจาราที่สูญเสีย ลูก 2 คน สามีและบิดา มารดาและพี่ชายในเวลาใกล้กันๆ จนไม่เหลือใคร นางก็ถึงความเป็นบ้าในขณะนั้น ความเป็นบ้านี้ไม่ได้เกิดจากผลของกรรม ซึ่งปัจจุบันคนในสมัยปัจจุบันก็บ้าเพราะเหตุเหล่านี้ก็มีไม่น้อย ประเด็นคือเมื่อบ้าแล้วจะหลุดจากวงจรได้หรือไม่ หลุดได้ดังเช่น นางปฏาจารา เมื่อเป็นบ้า แต่นางมีอุปนิสัยที่จะเป็นพระอริยเจ้า พระพุทธองค์ทรงเรียกนาง และแสดงธรรม นางก็หายบ้าและได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าก็หลุดวงจรและสามารถฟังธรรมและบรรลุได้ เราจึงควรแยกระหว่างความเป็นบ้าด้วยผลของกรรมและความเป็นบ้าที่เกิดจากการสูญเสีย (อันเกิดจากความคิดนึก) ซึ่งคนที่วิกลจริตเป็นบ้าจากผลของกรรมก็ไม่อาจจะบรรลุธรรมได้ หากเกิดมาด้วยผลของกุศลกรรมอย่างอ่อน แต่ผู้เป็นบ้าเพราะสูญเสีย เขาอาจเกิดด้วย กุศลกรรมที่มีกำลังและสามารถฟังธรรมได้และได้บรรลุดังเช่น นางปฏาจาราครับ หลุดได้ด้วยกุศลกรรมให้ผลและความเข้าใจพระธรรม
ขออนุโมทนา
คนเมาทำบาปเช่นไปฆ่าคน อ้างว่าตอนนั้นไม่รู้สติสัมปชัญญะ ก็บาปกรรมเช่นเดียวกัน นี้แล องคุลีมาล ทำบาปฆ่าคน 999 คน แม้จะเพราะมีเจตนาดีหวังจะบรรลุธรรม (ตามที่อาจารย์หลอกลวง) แต่ก็บาปกรรมเช่นเดียวกัน นี้แล