จริยาวัตรของพระยาวานร [กปิลราชจริยา]

 
JANYAPINPARD
วันที่  15 ม.ค. 2553
หมายเลข  15131
อ่าน  1,280

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 465

กปิลราชจริยา ว่าด้วยจริยาวัตรของพระยาวานร

ในกาลเมื่อเราเป็นพระยาวานร อยู่ ณ ซอกเขาใกล้ฝั่งแม่น้ำ ในกาล

นั้นเราถูกจระเข้เบียดเบียนไปไม่ได้ เรายืนอยู่ ณ โอกาสใด โดดจากฝั่งนี้

ไปยังฝั่งโน้น จระเข้มันเป็นสัตว์ดุร้ายแสดงความน่ากลัวอยู่ ณ โอกาส

นั้นจระเข้นั้นกล่าวกะเราว่า มาเถิด แม้เราก็กล่าวกะจระเข้นั้นว่า จะมา

เราโดดลงเหยียบศีรษะจระเข้นั้น แล้วโดดไปยืนอยู่ฝังโน้น เรามิได้ทำ

ตามคำของจระเข้ที่กล่าวหลอกลวงนั้นหามิได้ ผู้เสมอด้วยคำสัจของเรา

ไม่มี นี้เป็นสัจจบารมีของเรา ฉะนี้แล.

จบ กปิลราชจริยาที่ ๗
อรรถกถากปิลราชจริยาที่ ๗

พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถากปิลราชจริยาที่ ๗ ดังต่อไปนี้ บทว่า

ยทา อหํ กปิ อาสึ ความว่าในกาลเมื่อเราเกิดในกำเนิดวานร อาศัยความ

เจริญได้เป็นพระยาวานรมีกำลังดุจช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง มีร่าง

กายใหญ่ประมาณเท่าลูกม้า. บทว่า นทีกูเล ทรีสเย ความว่าเราอยู่ที่

ซอกเขาแห่งหนึ่งใกล้ฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง. ได้ยินว่า ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์มิได้ดูแลฝูง เที่ยวไปผู้เดียว. ก็ ณ

ท่ามกลางแม่น้ำนั้นมีเกาะอยู่เกาะหนึ่ง สมบูรณ์ด้วยผลไม้ มีขนุนและ

มะม่วง เป็นต้นหลายๆ อย่าง. พระโพธิสัตว์เพราะสมบูรณ์ด้วยกำลังเร็ว

กระโดดจากฝั่งนี้ของแม่น้ำ ไปถึงแผ่นหินแผ่นหนึ่งซึ่งมีอยู่ในท่ามกลาง

เกาะและแม่น้ำ. กระโดดจากแผ่นหินนั้นไปถึงเกาะนั้น. พระยาวานรเคี้ยว

กินผลาผลหลายๆ อย่าง ณ เกาะนั้นตอนเย็นก็กลับโดยวิธีนั้นนั่นเองอยู่ใน

ที่อยู่ของตน รุ่งขึ้นก็ทำอย่างนั้นอีกสำเร็จการอยู่โดยทำนองนี้. ในกาล

นั้น มีจระเข้ตัวหนึ่งพร้อมด้วยนางจระเข้อาศัยอยู่ใกล้แม่น้ำนั้น. นาง

จระเข้เมียของจระเข้นั้นเห็นพระโพธิสัตว์ไปๆ มาๆ อยู่ เกิดแพ้ท้องอยาก

กินเนื้อหัวใจของพระโพธิ-สัตว์ จึงบอกกะจระเข้ผู้เป็นผัวว่า นายจ๋าฉันแพ้

ท้องอยากกินเนื้อหัวใจลิงนั้น. จระเข้กล่าวว่า ได้ซิเธอ. แล้วก็ไปด้วยหวังว่า จักจับพระยาลิงนั้นซึ่งกลับจากเกาะในตอนเย็น จึงอยู่บนหลังแผ่นหิน. พระโพธิสัตว์เที่ยวหาอาหารตลอดวัน ในตอนเย็น ได้ยืนบนเกาะ

นั่นเอง มองดูแผ่นหินคิดว่า หินแผ่นนี้ บัดนี้ ปรากฏว่าสูงกว่าเดิม จะมี

เหตุอะไรหนอ เพราะพระมหาสัตว์สังเกตปริมาณของน้ำและปริมาณของ

แผ่นหินไว้เป็นอย่างดี. ด้วยเหตุนั้นพระโพธิสัตว์จึงดำริว่าวันนี้น้ำของแม่

น้ำนี้ก็ยังไม่ลด. แต่ทำไมแผ่นหินนี้จึงปรากฏใหญ่มาก. คงจะเป็นเจ้า

จระเข้นอนหมายจะจับเรา ณ ที่นั้นเป็นแน่. พระยาวานรคิดว่า เราจักทดลองจระเข้นั้นก่อน จึงยืนอยู่อย่าง

นั้น ทำพระยาวานรคิดว่า เราจักทดลองจระเข้นั้นก่อน จึงยืนอยู่อย่างนั้น

ทำเป็นพูดกับแผ่นหิน พูดว่า เฮ้ย เจ้าหิน ก็ไม่ได้รับคำตอบ พูดว่า เฮ้ย

เจ้าหินอยู่ ๓ ครั้ง หินก็ไม่ให้คำตอบ. พระโพธิสัตว์จึงพูดอีกว่า เฮ้ยเจ้า

หินทำไมวันนี้ไม่ให้คำตอบแก่เราเล่า. จระเข้คิดว่า หินนี้ในวันอื่นๆ คงให้

คำตอบแก่พระยาวานรเป็นแน่. แต่วันนี้หินไม่ให้คำตอบเพราะเราครอบ

ไว้. เอาเถิด เราจะให้คำตอบแก่พระยาวานร จึงพูดว่า ว่าอย่างไรพระยา

วานร. ถามว่าเจ้าเป็นใคร. ตอบว่า เราเป็นจระเข้. ถามว่า เจ้ามานอน

ที่นี้เพื่ออะไร ตอบว่า ต้องการหัวใจท่าน. พระโพธิสัตว์คิดว่า เราไม่มีทาง

ไปทางอื่น ทางไปของเราถูกปิดเสียแล้วดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า

ตรัสไว้ว่า :-

เราถูกจระเข้เบียดเบียนไปไม่ได้ เรายืน อยู่ ณ โอกาสใด โดดจากฝั่งนี้ไปยังฝั่งโน้น. จระเข้มันเป็นสัตว์ดุร้าย แสดงความน่ากลัว อยู่ ณ โอกาสนั้น.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปีฬิโต สุํสุมาเรน ท่านทำความที่กล่าว

ด้วยกึ่งคาถาเท่านั้นให้ปรากฏด้วยคาถาว่า ยมฺโหกาเส ดังนี้. บทว่า ยมฺโห

กาเสคือยืนอยู่ท้องที่อันได้แก่หลังแผ่นหิน ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางแม่น้ำใด.

บทว่าโอรา คือฝั่งใน ได้แก่เกาะ. บทว่า ปารํ คือฝั่งนอกแห่งแม่น้ำอันเป็น

ที่อยู่ของเราในครั้งนั้น.บทว่า ปตามหํ คือเรากระโดดไปถึง. บทว่า

ตตฺถจฺฉิ ความว่า จระเข้เป็นสัตว์ดุร้าย เป็นฆาตกร เป็นศัตรู แสดงความ

หยาบคายร้ายกาจเห็นแล้วน่ากลัว มันอยู่บนหลังแผ่นหินนั้น. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ดำริว่า เราไม่มีทางอื่นจะไป. วันนี้เรา

จะลวงจระเข้. เราจะเปลื้องจระเข้จากบาปใหญ่ด้วยอาการอย่างนี้, และเรา

ก็จะได้ชีวิตด้วย. พระมหาสัตว์จึงกล่าวกะจระเข้ว่า จระเข้สหาย เราจัก

โดดไปบนตัวท่าน. จระเข้กล่าวว่า พระยาวานร ท่านอย่ามัวชักช้าเชิญมา

ข้างนี้ซิ. พระมหาสัตว์ได้กล่าวว่า เรากำลังมา. แต่ท่านจงอ้าปากของ

ท่านไว้ แล้วจับเราตอนที่เรามาหาท่าน. ก็เมื่อจระเข้อ้าปากตาทั้งสอง

ข้างก็กลับ . จระเข้นั้นมิได้กำหนดเหตุการณ์นั้นจึงอ้าปาก. ตาของจระเข้ก็

หลับ . จระเข้อ้าปากนอนไม่ลืมตาเลย. พระมหา-สัตว์รู้ความเป็นจริงของ

จระเข้นั้น จึงกระโดดจากเกาะไปเหยียบหัวจระเข้ แล้วกระโดดจาก

นั้นไปยืนบนฝั่งโน้นดุจสายฟ้าแลบ. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :- จระเข้นั้นกล่าวกะเราว่า จงมา. แม้เรา ก็กล่าวกะจระเข้ว่าเราจะมา. เราโดดลงเหยียบ หัวจระเข้นั้น แล้วโดดไปยืนอยู่ที่ฝั่งโน้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า อสํสิ คือได้กล่าวแล้ว. บทว่า อหมฺเปมิ คือ

แม้เราก็กล่าวกะจระเข้นั้นว่า เราจะมา .อนึ่งเกาะนั้นน่ารื่นรมย์ ประดับ

ด้วยแนวต้นไม้ผลมีมะม่วง หว้าขนุน เป็นต้น และเหมาะที่จะเป็นที่อยู่. แม้

พระมหาสัตว์รักษาคำสัจ เพราะได้ให้ปฏิญญาไว้ว่าเราจะมา ก็ได้กระทำ

อย่างนั้นว่า เราจักมาแน่นอน. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-

เรามิได้ทำตามคำของจระเข้ที่กล่าวหลอกลวงนั้น หามิได้.

เพราะรักษาคำสัจนี้ ได้สละชีวิตของตนทำแล้ว ฉะนั้นพระผู้มีพระ

ภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-

ผู้เสมอด้วยคำสัจของเราไม่มี. นี้เป็นสัจจบารมีของเรา.

จระเข้เห็นความอัศจรรย์ดังนั้นคิดว่า พระยาวานรนี้ทำอัศจรรย์ยิ่ง

นักจึงกล่าวว่า พระยาวานรผู้เจริญ บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ อย่างใน

โลกนี้ ย่อมครอบงำศัตรูได้. ธรรมทั้งหมดนั้นคงมีอยู่ในตัวของท่าน. ท่านพระยาวานร ธรรม ๔ อย่างเหล่านี้ คือ สัจจะ ธรรม ธิติ จาคะ มีอยู่แก่ผู้ใด เหมือนอย่างท่าน ผู้นั้นย่อมล่วงพ้นศัตรูได้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส บุคคลไรๆ . บทว่า เอเต คือท่าน

แสดงถึงข้อที่ควรกล่าวไว้ในบัดนี้. บทว่า จตฺโร ธมฺมา คือคุณธรรม ๔

ประการ.บทว่า สจฺจํ คือวจีสัจจะ. ที่ท่านกล่าวว่า เราจักมาสำนักของเรา

แล้วไม่โกหกมาจนได้ นี้เป็นวจีสัจจะของท่าน. บทว่า ธมฺโม คือวิจารณ

ปัญญาได้แก่ปัญญาไตร่ตรอง ปัญญาที่เป็นไปว่า เมื่อเราทำอย่างนี้ จัก

เป็นอย่างนี้ชื่อว่าวิจารณปัญญาของท่าน. บทว่า ธิติ ได้แก่ความเพียรที่

ไม่ขาด แม้ความเพียรนี้ก็มีแก่ท่านบทว่า จาโค คือการบริจาคตน ท่าน

สละตนมาหาเรา เราไม่สามารถจะจับท่านได้ นี้เป็นความผิดของเรา

เอง. บทว่าทิฏฺฐ คือ ศัตรู. บทว่า โส อติวตฺตติ ความว่า ธรรม ๔ อย่าง

เหล่านี้ มีอยู่แก่บุคคลใดเหมือนอย่างมีแก่ท่าน ผู้นั้นย่อมก้าวล่วง คือ

ครอบงำศัตรูของตนเหมือนท่านพ้นเราในวันนี้. จระเข้สรรเสริญพระโพธิสัตว์อย่างนี้แล้วได้ไปที่อยู่ของตน. จระเข้

ในครั้งนั้นได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้. เมียจระเข้คือนางจิญจมาณวิกา. ส่วน

พระยาวานร คือพระโลกนาถ. แม้ในจริยานี้ พึงเจาะจงกล่าวถึงบารมีที่

เหลือของพระโพธิสัตว์นั้นโดยนัยดังกล่าวแล้ว ในหนหลังนั่นแล.อนึ่งพึงประกาศคุณานุภาพมีอาทิอย่างนี้ คือ

การรู้ว่าจระเข้นอนบนแผ่นหินด้วยสังเกตประมาณของน้ำและของหิน

ด้วยกำหนดเอาว่า บัดนี้ปรากฏหินสูงเกินไป. การตัดสินเนื้อความนั้นโดย

อ้างว่าเคยพูดกับหิน. การเปลื้องจระเข้ให้พ้นจากบาปใหญ่ เพราะรีบ

ทำด้วยการเหยียบหัวจระเข้แล้วไปยืนอยู่ที่ฝั่งโน้นทันที. การรักษาชีวิต

ของตน.และการตามรักษาสัจจวาจา.

จบ อรรถกถาปิลราชจริยาที่ ๗


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ