โคจร ๓
วันนี้ บ่ายสองถึงบ่ายสี่โมงเย็น เป็นช่วงสนทนาการปฏิบัติธรรม ที่มูลนิธิฯ เหมือนทุกๆ บ่ายวันอาทิตย์ แต่วันนี้ได้ฟังท่าน อ.สุจินต์ อธิบาย โคจร ๓ ต่อจากที่ อ.ประเชิญได้พูดถึงก่อน ท่าน อ.สุจินต์ ได้บรรยายโดยละเอียด โดยใช้ภาษาและตัวอย่างในขณะนี้ซึ่ง เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ อย่างไพเราะ ละเอียดลึกซึ้ง กระผมนั่งฟังแล้วเกิดความปิติ และอนุโมทนาในความเมตตาที่ท่านมีต่อผู้ฟังทุกคน และต้องขอขอบคุณและอนุโมทนาที่ อ.ประเชิญได้แสดงความเข้าใจ เรื่องโคจร๓ แล้วเรียนท่าน อ.สุจินต์ให้กรุณาอธิบายขยายความโคจร ๓ อีกครั้งหนึ่ง จึงทำให้สหายธรรมที่อยู่ในขณะนั้นทุกท่านได้มีโอกาสได้ยินได้ฟังอย่างละเอียดและไพเราะจริงๆ ครับ
ขออนุโมทนาค่ะ ดิฉันก็ไปฟังธรรมที่มูลนิธิทุกอาทิตย์ ถ้าไม่ติดกิจจำเป็น ดิฉันไม่เคยขาดการฟังธรรมเลย เพราะท่านอาจารย์สามารถถ่ายทอดพระธรรมได้ลึกซึ้งจริงๆ ยิ่งฟัง ยิ่งทำให้เข้าใจ ตลอดระยะเวลาที่ไปฟังธรรมมาประมาณ 1 ปีกว่าๆ ดิฉันมีความมั่นคงมากขึ้นไม่หวั่นไหวอะไรง่ายๆ มองทุกอย่างตามความเป็นจริงเพราะทุกอย่างเป็นธรรมะ ดิฉันทำงานมีวันหยุดเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ แต่ก็ไปฟังธรรมต่อ คือเหมือนไม่มีวันหยุดเลย ตลอดทั้งเดือนแต่จริงๆ แล้วดิฉันมีความสุขมากตรงที่ได้ไปฟังธรรมะ แม้ร่างกายไม่ได้พัก แต่ได้พักจิตใจ ได้รับอาหารใจจากท่านอาจารย์สุจินต์ และอาจารย์ทุกท่านที่มูลนิธิ
ขอให้ทุกท่านอย่าทิ้งการฟังธรรมค่ะ
ยินดีกับผู้ที่มีโอกาสได้ฟังธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์เป็นประจำ และไม่ทราบว่า คนต่างจังหวัดอย่างดิฉันจะหาฟังหรืออ่านเรื่อง โคจร ๓ ที่บรรยายโดยท่านอาจารย์ ได้จากที่ไหนบ้างคะ
โคจร ๓ คือ ๑. อุปนิสสยโคจร ๒. อารักขโคจร ๓. อุปนิพันธโคจร
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์อธิบายให้เห็นถึงความเป็นปกติในชีวิตประจำวัน เมื่อก่อนไม่ได้ฟังพระธรรมมีความไม่รู้ในความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ขณะนี้ได้มีโอกาสฟังพระธรรม สิ่งสำคัญก็คือฟังให้เข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง การฟังพระธรรมบ่อยๆ จนเป็นนิสัย เป็นเหตุให้มีความเข้าใจในพระธรรมเป็นอารมณ์ เป็นอุปนิสสยโคจร (อุป = มีกำลัง นิสสย = เป็นที่อาศัย โคจร = อารมณ์) เมื่อมีความเข้าใจในธรรมที่ได้ฟัง ค่อยๆ มีความเข้าใจธรรมเพื่มขึ้นซึ่งจะเป็นปัจจัยให้กุศลธรรมเกิดขึ้น ขณะนั้นอกุศลจิตย่อมไม่เกิดจึงเป็น อารักขโคจร (อารักข = รักษา โคจร = อารมณ์) จนกว่ามีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น สติ และปัญญามีกำลังค่อยๆ ใกล้ที่จะรู้ความจริง ต้องใช้เวลาในการอบรมยาวนานมากเป็นจิรกาลภาวนา ไม่ใช่รู้ความจริงได้โดยรวดเร็ว เพราะเราสะสมความไม่รู้มานานในสังสารวัฏฏ์ที่ผ่านมา พระธรรมนั้นลึกซึ้งละเอียด รู้ตามได้ยาก เมื่อสติปัญญามีกำลังรู้ตรงลักษณะสภาพธรรมเป็น อุปนิพันธโคจร ซึ่งหมายถึงขณะนั้นสติปัฏฐานเกิด
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
๑. สิ่งสำคัญ ก็คือ ฟังให้เข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง การฟังพระธรรมบ่อยๆ จนเป็นนิสัย เป็นเหตุให้มีความเข้าใจในพระธรรมเป็นอารมณ์ เป็น อุปนิสสยโคจร
๒. ค่อยๆ มีความเข้าใจธรรมเพื่มขึ้นซึ่งจะเป็นปัจจัยให้กุศลธรรมเกิดขึ้น ขณะนั้นอกุศลจิตย่อมไม่เกิด จึงเป็น อารักขโคจร
๓. มีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น สติ และปัญญามีกำลัง ค่อยๆ ใกล้ที่จะรู้ความจริง ต้องใช้เวลาในการอบรมยาวนานมากเป็นจิรกาลภาวนา เมื่อสติปัญญามีกำลังรู้ตรงลักษณะสภาพธรรม เป็น อุปนิพันธโคจร ซึ่งหมายถึงขณะนั้นสติปัฏฐานเกิด
ขอบพระคุณค่ะพี่เมตตา ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่ค่ะ