หิริโอตตัปปะ
หิริ และโอตตัปปะ เป็นกุศลเจตสิกใช่หรือไม่
เวลาคนเรานึกถึงอกุศลในอดีต แล้วรุ้สึกเสียใจ ขัดข้องใจ ฯลฯ อันเป็นทางเศร้าหมองเช่นนี้ น่าจะเป็นอกุศลเป็นแน่ ไม่ใช่หิริโอตตัปปะใช่หรือไม่
เมื่อนึกถึงกรรมในอดีต จะเกิดหิริโอตตัปปะได้หรือไม่
เราควรทำในใจโดยแยบคาย อย่างไรเมื่อนึกถึงอกุศลกรรมในอดีต นอกเหนื่อจากพิจารณาว่าอดีตล่วงไปแล้ว ไม่อาจแก้ไขได้
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถึงกรรมในอดีตและการทำในใจเกี่่ยวกับกรรมในอดีตไว้หรือไม่อย่างไร
<<"เรื่องราว หรืออารมณ์ เป็นอย่างหนึ่งจิตที่นึกถึง เป็นอย่างหนึ่ง ที่สำคัญอยู่ที่จิต"
"ถ้าเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ย่อมไม่กังวลกับอดีตที่ล่วงไปแล้ว หรืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง เพราะทั้งหมดคือ ธัมมะ">>>
ขอขอบพระคุณ ขออนุโมทนา
อะไรคือ ความเป็นจริงของธรรมทั้งหลายครับ มีแง่ใหนโดยเฉพาะหรือไม่ที่เมื่อพิจาณา
ให้มากแล้ว ทำให้ปล่อยวางขันธ์ส่วนอดีต
ขณะทีรู้ธรรมะที่กำลังปรากฏตรงลักษณะจริงๆ ขณะนั้นปล่อยวางอดีตและอนาคตค่ะ
ไม่คำนึงถึงอดีตหรือในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ให้อยู่กับปัจจุบันคือขณะสติปัฏฐานเกิดค่ะ
กรรมใดที่ก่อไว้แล้ว ย่อมส่งผลแน่นอน ไม่ว่าเร็วหรือช้า
การระลึกไว้ ซึ่งกรรมดี กรรมชั่ว ที่ได้กระทำไปแล้ว เพื่อเป็นอุทาหรณ์ เพื่อทีี่จะไม่กระทำอีกในส่วนที่เป็นกรรมชั่ว นั้นเป็นสิ่งที่ดี ควรกระทำ แต่ถ้าพิจารณามากไปทำให้เศร้าหมอง และยึดติดกับอดีตครับ
ระลึกเพียงว่า กิเลสนั้นร้ายกาจและมีพลังยิ่งนัก เพียงเราพลาดนิดเดียว กิเลสก็ครอบงำเราจนเสียหมดสิ้น โดยไม่ทันรู้ตัวเราก็ทำชั่วไปเสียแล้ว
ถ้ามัวแต่สนใจอดีต ไม่ว่าจะกรรมดี กรรมชั่ว ...แล้วเราเอาปัจจุบันไปไว้ตรงไหน ทำวันนี้ให้ดี ศึกษาให้มากๆ จำให้ขึ้นใจ พิจารณาให้กระจ่างชัด และตรง เพื่อนำไปใช้เจริญสติปัฏฐาน ให้มั่นคงให้จงได้
สติปัฏฐานเท่านั้น ที่จะทำให้เรา ไม่ทำกรรมชั่วได้อีก ...ต่อใ้ห้รู้ดีรู้ชั่ว รู้บุญรู้ปาป แต่ถ้าขาดสติฯ ก็ไร้ประโยชน์เลย
ขออนุโมทนา ผู้ใฝ่ธรรม
จาก
<<"เรื่องราว หรืออารมณ์ เป็นอย่างหนึ่งจิตที่นึกถึง เป็นอย่างหนึ่ง ที่สำคัญอยู่ที่จิต""ถ้าเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ย่อมไม่กังวลกับอดีตที่ล่วงไปแล้ว หรืออนาคตที่ยัง
มาไม่ถึง เพราะทั้งหมดคือ ธัมมะ">>>
ท่านใดทราบและสามารถแสดงตัวอย่างกระบวนจิตสังขารบ้างครับว่า เมื่อรู้ธรรมมารมณ์อันเป็นบัญญัติส่วนอดีตที่เป็นอกุศลกรรมแล้ว
จิตปรุงแต่งด้วยลักษณะใดถึงเรียกว่ามีหิริเจตสิกเกิดร่วมด้วย มีลักษณะใดปรากฏบ่งถึงสภาวะนั้น
จิตปรุงแต่งด้วยลักษณะใดถึงเรียกว่ามีโอตตัปปะเจตสิกเกิดร่วมด้วย มีลักษณะใดปรากฏบ่งถึงสภาวะนั้น
จิตปรุงแต่งด้วยลักษณะใดถึงเป็นอกุศล มีลักษณะใดปรากฏบ่งถึงสภาวะนั้น ที่เรียกว่าคนสำนึกในความเห็นของคนทั่วไป คือ ถ้าเห็นว่าทำหน้าเศร้าหมองก็บอกว่าน่าจะสำนึก ถ้าแจ่มใสก็คงไม่สำนึกไม่รู้สึกรู้สาอะไร ซึ่งไม่จริง เพราะถ้าเศร้าหมองเป็นอกุศล ถ้าแจ่มใสอาจเป็นกุศลหรืออกุศลก็ได้
ขอตัวอย่างแบบเป็นเรื่องราวสมมติก็ดีนะครับ เช่น คิดถึงธรรมารมณ์อันเป็นบัญญัติส่วนอดีต คือการตบยุง เป็นต้น
เมื่อจิตรู้อารมณ์นี้แล้ว ปรุงไปอย่างไรถึงเรียกว่ามีหิริโอตตัปปะ หรือปรุงไปอย่างไรเป็นอุเบกขา หรือปรุงไปอย่างไรเป็นกุศลธรรมแบบอื่นๆ อีก
หิริโอตตัปปะเจตสิกมีอะไรเป็นอารมณ์ได้บ้าง อารมณ์ประเภทใดบ้างที่สามารถเป็นอารมณ์ของจิตที่มีหิริโอตตัปปะเจตสิกเกิดร่วมด้วย
* * หิริโอตตัปปะเจตสิกเกิดร่วมกับเจตสิกฝ่ายอกุศลได้หรือไม่
เราควรทำในใจโดยแยบคาย อย่างไรเมื่อนึกถึงอกุศลกรรมในอดีต นอกเหนื่อจากพิจารณาว่าอดีตล่วงไปแล้ว ไม่อาจแก้ไขได้
ก่อนอื่นควรศึกษาธรรมะตามลำดับครับ เพื่อให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นๆ ๆ ๆ
เกิดความเข้าใจถูกเห็นถูกว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้
ไม่มีเรา หากเข้าใจอย่างนี้ ก็จะหมดคำถามว่า"เราควรทำอย่างไร"ครับ
ธรรมะที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ ลึกซึ้ง ยากที่จะเข้าใจ ต้องค่อยๆ ศึกษา
การรู้เพียงเรื่องราวของธรรม ไม่พอที่จะเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้
อดทนที่จะศึกษาต่อๆ ไป ความเข้าใจเกิดขึ้นได้ทีละน้อย เป็นจิรกาลภาวนา
ถ้าคิดว่าเข้าใจแล้วก็จะกั้นการเจริญของปัญญา
ขออนุโมทนา