พระธรรมที่กำลังศึกษาอยู่ขณะนี้ให้ประโยชน์แก่ผู้ศึกษาอย่างไร ?

 
พุทธรักษา
วันที่  21 ม.ค. 2553
หมายเลข  15212
อ่าน  1,034

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

รายการโทรทัศน์ "บ้านธัมมะ" วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๒ถอดเทปสนทนาธรรม โดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล

คุณคำปั่น อวิชชาที่สั่งสมมาเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ จะเบาบางได้อย่างไร.?และ พระธรรมที่กำลังศึกษาอยู่ในขณะนี้ให้ประโยชน์อย่างไรแก่ผู้ศึกษา ครับ

อาจารย์ประเชิญ "อวิชชา" คือ โมหะถ้าแปลเป็นไทย ก็คือ ความไม่รู้ ความโง่ ความหลง ซึ่งท่านเปรียบเหมือนความมืดส่วนธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ ตรงกันข้ามกับ "อวิชชา" คือ "วิชชา" ซึ่งเปรียบเหมือนแสงสว่าง ผู้ที่จะหมดอวิชชา หรือ ดับอวิชชาได้ นั้นจะต้องมีการอบรม ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ หรือ เป็นข้าศึกของ อวิชชาซึ่งหมายถึง การอบรมเจริญ "วิชชา" คำว่า "วิชชา" เป็นชื่อหนึ่งของ "ปัญญา" คือ ความรู้ความรู้มีหลายขั้น หลายระดับ เช่นเดียวกับ "บุญ" ... "บุญ" มีตั้งแต่ขั้นทาน ขั้นศีล ขั้นภาวนาแม้บุญขั้นทาน (ขั้นศีล) ก็มีหลายระดับ เช่นกัน

เพราะฉะนั้น ปัญญา เริ่มตั้งแต่ขั้นการฟัง ขั้นความเข้าใจ ขั้นพิจารณา จนกระทั่งถึงขั้นประจักษ์แจ้งแทงตลอดสามารถดับอวิชชาได้ คือ การดับกิเลสประเภทอวิชชา หรือ โมหะ ตามลำดับขั้นซึ่งต้องอาศัยการสั่งสม การอบรมทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป จากการศึกษาพระพุทธประวัติ และ ประวัติของพระสาวก จะเห็นได้ว่ากว่าที่ท่านจะดับกิเลสได้ ต้องอาศัยการสะสมความเข้าใจมาเป็นเวลาที่นานมากไม่ใช่แค่ชาติเดียว หรือ ๒ ชาติ หรือ ๑๐ ชาติ ๑๐๐ ชาติ ไม่ใช่แค่นั้นแต่เป็นกัปป์ เป็นแสนกัปป์ เป็นอสงขัยแสนกัปป์และพระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดงหนทางเพื่อดับอวิชชา คือ ความไม่รู้หนทางที่ทรงแสดง คือ อริยมรรคมีองค์ ๘

อันเป็นหนทางเพื่อดับอวิชชา หรือ อมิตรภายใน ศัตรูภายในส่วน บุญ และ กุศลธรรมทั้งหลาย เป็นมิตรภายใน เป็นผู้มีอุปการะคุณที่จะทำให้ผู้ที่เป็นมิตร พ้นจากอันตรายได้โดยตลอด การที่จะดำรงชีวิตอยู่ในสังสารวัฏฏ์นี้ได้ก็ต้องอาศัย "การสั่งสมคุณความดี" เป็นจำนวนมาก เพื่อที่จะถึงความสวัสดีเพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคฯ จึงทรงแสดงบุญ ซึ่งเป็นมิตรภายในในเรื่องของการที่จะไปถึงฝั่ง (นิพพาน) คือ ความสวัสดีจริงๆ นั้น ต้องอาศัย "บุญญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ" คือ "บารมี" ซึ่งท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้แล้วว่า"บุญที่ประกอบด้วยปัญญา คือ บารมี"

ทานที่ทำแล้วหวังผล เช่น เพื่อความร่ำรวย เป็นต้น ไม่ใช่ ทานบารมีการรักษาศีลเพื่อผล คือ ความสวยงามหรือการเกิดในสวรรค์ เป็นต้น ไม่ใช่ ศีลบารมีเมื่อไม่ใช่บารมี ก็ไม่ใช่มิตรที่แท้จริง ที่จะทำให้ถึงฝั่งโดยสวัสดิภาพ เพราะฉะนั้น มิตรที่แท้จริง จึงหมายถึง บุญ หรือ กุศลที่ประกอบด้วยปัญญา

และก่อนที่จะถึง "โลกุตตรปัญญา" ก็ต้องอาศัย "บุญที่ประกอบด้วยปัญญา" ซึ่งหมายถึง บุญขั้นภาวนา คือ การเจริญสติปัฏฐานเพราะปัญญาเพียงขั้นทาน ขั้นศีล (ขั้นสมถะ) ยังไม่สามารถที่จะทำให้ถึงฝั่ง คือ พระนิพพาน ได้เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า "บุญ" จึงต้องแสดงโดยหลายนัย จึงจะเข้าใจ เรื่องของบุญที่จะทำลาย "อวิชชา" หรือ ความไม่รู้ หรือ โมหะ นั้นต้องอาศัยบุญที่เป็นปฏิปักษ์ หรือ เป็นข้าศึกของอวิชชา คือ "บุญที่ประกอบด้วยปัญญา"

คุณธนากร เพราะฉะนั้น ก็คงไม่ต้องเลือกนะครับ เพราะธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ แต่ปัจจัยถ้าเข้าใจพระธรรมจริงๆ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด ตำแหน่งใด ก็สามารถเป็นคนดี และ อบรมเจริญปัญญาได้และที่สำคัญ การที่มีโอกาสเป็นผู้นำ และ มีโอกาสทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมอันนั้น ก็ถือเป็นการเจริญเมตตา และ เป็นมิตรได้อีกทางหนึ่งเลยนะครับ.

ขออนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 22 ม.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ