ขออนุญาตถามหา

 
รากไม้
วันที่  27 ม.ค. 2553
หมายเลข  15279
อ่าน  1,215

ถ้าหากมีผู้ใดที่ เจริญสติปัฏฐานได้แล้ว ณ ที่เวปนี้ ...ขอความกรุณาชี้แนะด้วยครับว่า เมื่อเราเจริญสติปัฏฐานได้แล้ว ควรจะทำอย่างไรต่อไป

เช่นว่า ควรศึกษาปรมัตธรรม หรือ ควรไปเจริญวิปัสสนากรรมฐาน แล้วแต่ว่าพิจารณาแล้วเห็นสมควร หรือว่า ใช้ชีวิตไปตามปกติ หรือ ฯลฯ

หรือว่า ควรไปขอคำชี้แนะจากท่านอาจารย์สุจินต์ จึงจะเป็นการดีที่สุดครับ

ขอขอบพระคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 27 ม.ค. 2553
ผู้ที่ศึกษาพระธรรมจนเข้าใจระดับหนึ่งแล้ว เริ่มศึกษาตัวสภาพธรรมที่กำลังปรากฏแต่ยังไม่แล้ว คือ ต้องค่อยๆ สะสมอบรมความเข้าใจ สะสมสติสัมปชัญญะไปเรื่อยๆ จนกว่าปัญญาจะสมบูรณ์ จนถึงความเป็นพระอริยะขั้นพระอรหันต์ ซึ่งไม่รู้ว่าอีกกี่ร้อย อีกกี่พัน อีกกี่แสนชาติ หรืออีกกี่กัป ก็ยังไม่ทราบ ดังนั้นการศึกษา การฟังก็ต้องมีต่อไปเรื่อยๆ ครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
รากไม้
วันที่ 27 ม.ค. 2553

ขอบพระคุณครับ

คือขณะนี้ ขณะที่พิมพ์อยู่นี้ ผมได้เจริญสติปัฏฐานอยู่ครับ ท่านอาจารย์ prachern ...อย่างไรก็ตาม ผมก็ขอน้อมรับคำแนะนำ คือจะค่อยๆ ศึกษาปรมัตถธรรมให้ละเอียด เพื่อเข้าใจสภาวะสภาพรู้ที่มีอยู่นี้ ให้ลึกซึ้งเข้าไปเรื่อยๆ ครับผม

ด้วยเหตุว่า พระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงนั้น ละเอียดลึกซึ้งยิ่งนัก ยิ่งศึกษายิ่งรู้เพิ่มทุกขณะ มองไม่เห็นที่สิ้นสุดได้เลย

ขออนุโมทนา ดวงจิตผู้ใกล้พระธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
thorn
วันที่ 27 ม.ค. 2553

ในหนังสือ ปรมัตถธรรมสังเขป ของท่านอาจารย์สุจินต์ ฯ ได้กล่าวถึงความหมายของสติปัฏฐาน ไว้ว่า

คำว่า สติปัฏฐาน มี ๓ ความหมาย คือ

. สติปัฏฐาน เป็นปรมัตถอารมณ์ คือ นามธรรมและรูปธรรมที่สติระลึกรู้

(
สติปัฏฐาน ๔)

. สติปัฏฐาน เป็นสติเจตสิกที่เกิดกับกามาวจรญาณสัมปยุตตจิตซึ่งระลึกรู้อารมณ์ที่เป็นสติปัฏฐาน

. สติปัฏฐาน เป็นหนทางที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอริยสาวกดำเนินไปแล้ว

รายละเอียดจะอยู่ในหนังสือ ปรมัตถธรรมสังเขป ถ้าเป็นฉบับที่ดาวน์โหลด จาก เวปไซต์ นี้ จะอยู่ในเรื่อง วิปัสนาภาวนา ตั้งแต่หน้า 171

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ขอธรรมทาน
วันที่ 27 ม.ค. 2553

สติปัฏฐาน ก็คือ วิปัสสนา

หากเจริญให้มากจนถึงระดับหนึ่งแล้ว

ก็จะละ สักกายทิฏฐิ ได้

จนไปถึงระดับที่เป็นพระอริยบุคคลได้ครับ

หากเป็นพระอริยบุคคลแล้วถามว่าจะทำอะไรต่อไป

ตอบว่าก็ขึ้นอยู่กับอัธยาศัยของผู้นั้นแล้วหละครับ

ว่าจะเมตตาช่วยเหลือผู้อื่นผู้ยังไม่ถึงความเป็นอริยบุคคลหรือไม่?

หากได้เป็นถึงระดับพระอรหันต์ แต่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ก็จะดับขันธ์เองภายใน 7 วัน

แต่หากเป็นภิกษุ จะยังไม่ดับขันธ์ก่อน เพราะมีหน้าที่เผยแพร่พระพุทธศาสนาต่อไปครับ

ปล.. เข้าใจว่าคุณรากไม้สงสัยว่าตนเองเจริญสติปัฏฐานได้แล้วหรือเปล่าครับ?

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
สามารถ
วันที่ 27 ม.ค. 2553

ผมเคยถามผู้มีความรู้ว่า อย่างนี้เป็นการเจริญสติปัฏฐานหรือไม่ ...อย่างนั้นเป็นหรือไม่
อย่างนี้แล้วจะเป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่....ฯลฯ

ผู้รู้ตอบว่า

ถ้าเราเข้าใจถูกต้องแล้ว
จะไม่มีข้อสงสัย
...
และจะรู้ว่าจะเดินไปทางไหนต่อไป โดยไม่ต้องถามใครอีก..................................
ผมเห็นว่าเราควรเป็นผู้ที่ซื่อตรงต่ออรรถะและพยันชนะจะเป็นการดีที่สุดครับ
เช่น ลองพิจารณาดูครับว่า "ขณะนี้มีแข็ง และรู้แข็ง" เพียงเท่านี้
สติสามารถระลึกถึงลักษณะของ "มีแข็ง" และ "รู้ในแข็ง" ได้หรือยัง?
มีลักษณะเป็นอย่างไรก้น เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
เอา "เรา" ไปอยู่ที่ไหน? ...ฯลฯ

ผมเห็นว่า ทุกอย่างมีที่สุดอยู่ที่ "การพิจารณา" ในความจริง ตามความเป็นจริง
ถามตัวเอง ตอบตัวเอง และตอบด้วยความจริงใจที่มีต่อตัวเอง
ว่าขณะนี้เรารู้ เราเข้าใจว่าเป็นอย่างไรอยู่ ขัดแย้งกับพระพุทธเจ้าอย่างไร
ทำไมเราถึงไม่เห็นเหมือนท่านเหล่านนั้น
ท่านเหล่านั้นมีเหตุผลอย่างไร จึงเห็นอย่างนั้น
เรามีเหตุผลอะไร ที่เห็นอย่างนี้
เราหรือท่านเหล่านั้นใครเห็นจริง
เท่านี้เราก็ว่าจริงแล้วทำไมท่านเหล่านั้นถึงยังกล่าวว่าไม่จริง
พระพุทธเจ้าเห็นประโยชน์ เห็นจริงถึงขนาดไหนถึงได้ทุ่มเวลาทั้งชีวิตเที่ยวบอกในสิ่งที่ขัดแย้งกับเรา
เราควรทำอย่างไร?....
แล้วแต่อัธยาศัยครับ นี้เป็นที่ผมพิจารณา

ขอบพระคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 27 ม.ค. 2553

ความคิดเห็นที่ 4

"...หากได้เป็นถึงระดับพระอรหันต์ แต่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ก็จะดับขันธ์เองภายใน 7 วัน.."

คงหมายถึงพระอรหันต์ที่ยังครองเพศฆราวาสอยู่ใช่มั้ยค่ะ

เพราะพระอริยบุคคลทุกขั้น แม้พระโสดาบัน ท่านพ้นจากความเป็นปุถุชนแล้ว

และสำหรับพระอรหันต์ที่ยังครองเพศฆราวาส หากไม่บวช "ภายในวันนั้น"

ก็จักต้องปรินิพพานค่ะ เพราะเพศ ฆราวาสไม่สามารถรองรับความบริสุทธิ์ของท่านได้

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
รากไม้
วันที่ 27 ม.ค. 2553

ขอบพระคุณ คุณ Thorn และคุณ ขอธรรมทาน ที่ให้ความรู้เพิ่มเติมครับ

เรียนคุณ ขอธรรมทาน ...หากว่าใน ความเห็นที่ 2 ผมใช้คำผิดไป ก็ขอโปรดช่วยชี้แนะด้วยครับ

ความจริงแล้ว ผมยังเป็นผู้รู้น้อย จึงยังมิควรที่จะเรียก "สภาพรู้ ในสภาพความเป็นจริงในขณะนี้ ...ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ด้วยการคอยประคับประคองสติ" กับ "สติปัฏฐาน" ปนเปกัน

หากจะเรียกว่า "ยังสงสัยอยู่" ก็น่าจะได้ครับ เพราะว่า สติปัฏฐาน ก็เป็นนามธรรม ซึ่งยากที่จะอธิบาย หรือหาคำจำกัดความมาเทียบเคียง เพื่อพิสูจน์ได้ 100%

แต่ทั้งนี้ผมก็ได้พยายามหาคำตอบ ด้วยการฟังบรรยายของท่านอาจารย์กว่า 20 ชั่วโมง อ่านหนังสือเพิ่มเติม พร้อมด้วยการพิิจารณาด้วยตนเองอย่างละเอียดทุกแง่มุมแล้ว พบ ว่าก็ตรงกันกับที่ท่านอาจารย์ได้อธิบายในทุกแง่มุมแล้วจริงๆ ใช้เวลารวมแล้วประมาณสัปดาห์นึงครับ ...ซึ่งก็ได้ข้อสรุปที่น่าจะจริงได้ว่า น่าจะเป็นอย่างเดียวกันครับ

เมื่อมาในเวปนี้ จำเป็นต้องพิมพ์ข้อความที่เป็นจริง เท็จไม่ได้ครับ เพื่อไม่ให้เกิดอกุศลจิต ...แต่ว่า "สภาพรู้ฯ " ก็เกิดได้ดับได้ มิใช่ว่า ใครจะมีได้ตลอดเวลา ดังนั้น จะเรียกว่า มี หรือ ไม่มี หรือ เคยมีแต่ผ่านไปแล้ว ผมว่าก็มีค่าไม่แตกต่างครับ เพราว่าอาจจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้วก็ได้

ส่วนเรื่องที่ว่า ไปถึงขั้นพระอรหันต์นั้น ก็เป็นความรู้ใหม่สำหรับผม ...แต่ผมคงไม่คิดไปไกลถึงเพียงนั้น ขอเพียงว่าได้ รักษา "สภาพรู้" ให้สืบต่อคงไว้กับเรานานๆ ก็พอแล้วครับ ...เพียงแค่นี้ ก็เข้าใจแจ่มชัดแล้วว่า ธรรมะมีจริงๆ ดังที่พระพุทธองค์ ทรงตรัสสั่งสอนไว้ เมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน และผมก็ได้รับคุณวิเศษที่ทำให้ รู้สึกปล่อยวางจากสิ่งรอบๆ ตัวจริงๆ รู้สึกไม่มีตัวตนจริงๆ (คือไม่มีตัว มีแต่ สัมผัสที่มีใน 6 ทาง วนเวียนไปๆ มาๆ แค่นี้เอง) มันปลอดโปร่ง โล่ง เบาสบาย ไกลจากกิเลส มากเพียงพอแล้วสำหรับฆารวาส ...ยังไม่ต้องถึงขั้น พระอริยบุคคล ก็ได้ครับ

หากว่ามีผู้รู้เข้ามาชี้แนะอีกเยอะๆ ก็ดีนะครับ ถือเสียว่าให้ธรรมทานแก่ผม , หรือจะถามอะไรก็ได้ครับ ผมมิได้ขัดข้อง

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Sam
วันที่ 28 ม.ค. 2553

ขออนุญาตสนทนาสอบถามสิ่งที่ผมยังสงสัยนะครับ อยากให้คุณรากไม้ช่วย

อธิบายว่า การเห็นในขณะนี้ มีลักษณะอย่างไร และเกิดทางจักขุทวารหรือทางมโน-

ทวารครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ตะวัน
วันที่ 28 ม.ค. 2553

ขออนุโมทนาครับ

เข้ามาเก็บเกี่ยวทุกความเห็นไว้เพิ่มปัญญา เพราะยังเป็นผู้เรียนรู้ครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
สิ่งสมมุติ
วันที่ 28 ม.ค. 2553

อยากรู้จังเลยครับ ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับคุณบ้าง ขณะนี้คุณยังเห็นตัวคุณเป็นตัวคุณอยู่หรือเปล่าครับ? เป็นคนๆ หนึ่งหรือเปล่า? เห็นสัตว์เป็นสัตว์ เห็นบุคคลเป็นบุคคลหรือเปล่า? ถ้าอยู่ๆ เกิดเหตุเสียแขนไป 1 ข้างคุณจะรู้สึกอย่างไร? ถ้าจู่ๆ คุณสูญเสียครอบครัวไปคุณรู้สึกอย่างไร? หากสำรวจตัวตนดูแล้วในใจของคุณยังมีคำว่า "เรา" อยู่บ้างหรือเปล่าครับ? ผมว่าที่เห็นกายไม่ใช่เรานั้นไม่ยากนัก เห็นเวทนาไม่ใช่เรานั้นก็ไม่ยากนัก แต่ที่ยากคือเห็นจิตไม่ใช่เรา เราไม่ใช่จิต จิตไม่มีในเรา เราไม่มีในจิต นี่สิยาก โดยเฉพาะทำให้ได้ตลอดเวลานั้นแหละยาก นอกจากนี้คุณเคยได้ศึกษาจากแหล่งอื่นที่ไหนมาบ้างหรือเปล่าครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
sunshine
วันที่ 29 ม.ค. 2553

ดูก่อนภิษุทั้งหลาย "ด้วยอาการอย่างนี้แล ที่เมื่อคบสัปบุรุษเป็นไปบริบูรณ์แล้ว ..ย่อมทำการได้ฟังพระสัทธรรมให้บริบูรณ์ , การได้ฟังพระสัทธรรมบริบูรณ์แล้ว..ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์ , ศรัทธาบริบูรณ์แล้ว ....ย่อมทำโยโสมนสิการให้บริบูรณ์ ,โยโสมนสิการบริบูรณ์แล้ว...ย่อมทำความเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์ , ความเป็นผู้มีสติสัมปัชญญะบริบูรณ์แล้ว ..ย่อมทำการสำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์ , การสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์แล้ว ...ย่อมทำสุจริตทั้งหลายสามประการให้บริบูรณ์ , สุจริตทั้งหลายสามประการบริบูรณ์แล้ว ...ย่อมทำสติปัฏฐานสี่ประการให้บริบูรณ์ , สติปัฏฐานทั้งหลายสี่ประการบริบูรณ์แล้ว ...ย่อมทำโพชฌงค์ทั้งหลายเจ็ดประการให้บริบูรณ์ , ............ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาหารแห่งวิชาและวิมุตตินี้ ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ และบริบูรณ์แล้วด้วยอาการอย่างนี้. "

(ท่านเปรียบว่า ร่างกายเราดำรงอยู่ได้ด้วยมีอาหาร เช่นเดียวกับ วิชาและวิมุติ จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยอาหาร.)

โปรดสังเกต .... บัญญัติธรรมที่ว่า สติสัมปัชัญญะ กับบัญญัติว่า สติปัฏฐานสี่ สองคำนี้แม้จะมีความหมายคล้ายกันแต่กลับมีนัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ...

(ในที่นี้จะขอกล่าวถึงสติปัฏฐานสี่ ว่ากินความครอบคลุมองค์ธรรมอื่นๆ เกือบแทบจะทั้งหมด ทั้งสภาวธรรมที่หยาบ สภาวธรรมอย่างกลาง และ สภาวธรรมอย่างละเอียด)

ท่านอ่านพุทพจน์บทนี้แล้วพิจารณาด้วยตัวท่านเองว่าท่าน ปฏิบัติองค์ธรรมข้อไหนได้บริบูรณ์บ้าง ข้อไหนยังไม่บริบูรณ์บ้าง

แล้วศึกษาตามวิสัยของตัวท่านเอง ท่านจะรู้ด้วยตัวท่านเองว่า ตัวเองมีจริตเหมาะสมกับสิ่งใด เช่น การอ่าน หรือ การฟังจากอาจารย์ท่านใด หรือการสนทนาแลกเปลี่ยน อ่านจากพระไตยปิฏก หรือ อ่านจากบทความ หรือ ควรศึกษาหมวดธรรมบทไหน

เวลาใดควรปลีกวิเวก เวลาใดควรบำเพ็ญสมาธิ เวลาใดควรเจริญวิปัสนา อาศัยธรรมใดในการกระทำนั้นๆ ให้เป็นไป สภาวธรรมใดที่เมื่อเสพแล้วทำให้เจริญในกุศลธรรม สภาะธรรมใดเสพแล้วทำให้กุศลธรรมเสื่อม เป็นต้น...

ข้อนี้ไม่มีใครแนะนำท่านได้ดีเท่าตัวท่านเอง ท่านควรพิจารณาดูว่าศึกษาอย่างไร แล้ว ทำให้มีความก้าวหน้าในธรรมมีธรรมเป็นที่อาศัย สามารถ ลด ละ เลิก บรรเทา อาการกิเลสนั้นๆ ลงได้...

โดยส่วนตัวผู้เขียนเอง ก็ยังไม่สามารถเจริญสติปัฏฐานสี่ให้บริบูรณ์ได้แต่ก็พอจะพิจารณาได้ว่าตัวเองอยู่ในภาวะองค์ธรรมข้อไหน และควรทำอย่างไร .....

หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง ด้วยความเคารพ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
paderm
วันที่ 30 ม.ค. 2553

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

จากคำถามของกระทู้เมื่อคนตาดีบอกว่าช้างเป็นอย่างนี้ คนตาบอดก็จินตนาการตามสิ่งที่คนตาดีบอก แต่ว่า

ไม่ใช่การเห็นช้างจริงๆ การเห็นช้างเป็นเรื่องของคนตาดี บอกอย่างไรหากตาบอดก็

มองไม่เห็นช้าง

การเจริญสติปัฏฐานเป็นเรื่องของปัญญาเฉพาะตน เริ่มจากความเข้าใจถูกเป็นเบื้องต้น

จากขั้นการฟัง หากมีความเห็นถูกแล้ว ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้สติเกิด รู้ได้เฉพาะตน แต่

หากเข้าใจผิดแล้ว ก็ไม่มีทางที่สติจะเกิดได้ จึงควรเริ่มจากการฟังให้เข้าใจ โดยรู้ว่า

เหตุปัจจัยอะไรที่จะทำให้สติเกิด โดยเริ่มจากการฟังให้เข้าใจในเรื่องของสภาพธรรม

ขอให้กลับไปเริ่มกับคำว่าธรรมคืออะไรครับ เชิญคลิกอ่านที่นี่.... ก่อนจะถึง...สติ-ปัฏฐาน ! อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
คุณ
วันที่ 12 ก.พ. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ