ทุกภพทุกชาติที่เกิดมา ไม่มีเราที่เกิดมา
ทุกภพทุกชาติที่เกิดมา ไม่มีเราที่เกิดมา ... มีแต่เพียงธรรมะที่เกิดขึ้นและดับไป ... ไม่มีอะไรเหลือ ... ไม่มีอะไรสำคัญ ... ทุกภพทุกชาติที่เกิดมาไม่ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม หรือแม้แต่ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตวดิรัจฉาน ก็มีเพียงปฐมจิต ทุติยจิต และจุติจิต ทันทีที่เกิดมาเพราะผลของกรรมเพียงขณะเดียว ดับไปแล้วภวังคจิตเกิดสืบต่อ เรียกว่า ปฐมจิต ชีวิตจะมีแต่ภวังคจิตเกิดดับสืบต่อตลอดไปไม่ได้ เพราะผลของกรรมที่จะต้องเกิดขึ้นมาเห็น ได้ยิน ... สุดแล้วแต่จะเป็นผลของกรรมดีหรือไม่ดี ได้เห็น ได้ยิน ลิ้มรส ... สิ่งที่ดีหรือไม่ดี เพราะฉะนั้น อวัชชจิตซึ่งเป็น ทุติยจิต เป็นวิถีจิตแรกที่เกิดขึ้น รำพึงถึงอารมณ์ ทางปัญจทวารวิถีก็คือปัญจทวารวัชชจิตเป็นวิถีจิตแรก
ส่วนทางมโน ทวารวิถีคือมโนทวารวัชชจิตเป็นวิถีจิตแรก ชีวิตในภพชาติหนึ่งๆ ก็มีเพียงเท่านี้ เกิดมาแล้วก็ได้เห็น ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส กระทบสัมผัสสิ่งที่ดีบ้างไม่ดีบ้างสุดแล้วแต่กรรมใดให้ผล แล้วก็เป็นภวังค์อีก เกิดขึ้นมาเห็น ได้ยิน..อีก หรือภวังค์แล้วก็คิดนึก วนเวียนอยู่เช่นนี้เรื่อยๆ จนตายหมายถึงจุติจิตซึ่งเป็น ปัจฉิมจิต ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ภวังค์เกิดขึ้นแล้วดับไป จิตลิ้มรสเกิดขึ้นมาลิ้มรสอร่อยแล้วดับไป.. ได้เห็นสิ่งสวยงามก็ดับไป ได้กลิ่นหอม ได้กระทบสัมผัสความนุ่มความเย็นสบายแล้วดับไปไม่มีเหลือ ให้เห็นถึงความไม่มีสาระ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเห็น ได้ยิน ... และคิดนึก แล้วดับไป ไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีอะไรสำคัญ ทุกอย่างเป็นเพียงสภาพธรรมเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ไม่มีตัวตน ทุกภพทุกชาติที่เกิดขึ้นแล้วภวังค์สืบต่อ ... ปฐมจิต ทุติยจิต และปัจฉิมจิต ... จนกว่าจะเป็นจุติจิตของพระอรหันต์เป็น ปัจฉิมจิต ไม่ต้องเกิดขึ้นมาเห็น ได้ยิน ... อีกต่อไป
ขออนุโมทนาค่ะ
โรงละครของโลก
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นเราเห็นโรงละครของโลกทางตามีอารมณ์เป็นตัวละคร แล้วก็กลับเข้าโรงนั่นคือการกลับเป็นภวังค์ แล้วตัวละครหรืออารมณ์อื่นก็ออกมา สลับกันอย่างนี้เรื่อยไปเมื่อเราหลับตาลง โรงละครนั้นจะไม่มีปรากฏนั่นคือขณะที่เป็นภวังค์ เมื่อพิจารณาอยู่อย่างนี้ เราจะละหรือจะติดในตัวละครนั้นนี่คือโลกทางตา ส่วนทาง อื่นๆ ก็โดยนัยเดียวกัน