ความยึดมั่น - ในตัวบุคคลที่แสดงธรรม.
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สนทนาธรรมที่โรงพยาบาลพระมงกุฏฯ
วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๒
ถอดเทปบันทึกเสียง โดย
คุณสงวน สุจริตกุล
ถาม ทำอย่างไร จึงจะสนใจใน "ธรรมที่บรรยาย" มากกว่า "ยึดติด" ในตัวท่านอาจารย์ เพราะว่า พอใจ และ รอคอยให้ท่านอาจารย์มาเช่น ครั้งใดที่ท่านอาจารย์ไม่มาที่มูลนิธิฯ ก็จะไม่ไปฟัง กลัวว่าจะยึดติดในตัวท่านอาจารย์ มากว่าคำสอนของพระพุทธองค์กรุณาแนะนำด้วยค่ะ
ท่านอาจารย์ ไปฟัง หรือว่า ไปดู ถ้าไปดู ก็คือ "เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้" เท่านั้นเอง
เห็นแล้วครั้งหนึ่ง แล้วก็ไม่เห็นกันอีกแต่ก็ยัง "จำได้" ว่า สิ่งที่เคยเห็นนั้น เป็นอะไร ก็เป็นเพียงแต่ "การเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา" เท่านั้น เห็นแล้ว ก็มีการคิดนึกต่อ แล้วก็จำได้ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ไหน ก็ไม่ได้มีสภาพธรรมเดียวที่ปรากฏ แต่มี "รูปร่าง-สันฐาน" ของสิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งปรากฏว่าเป็นบุคคลต่างๆ และไม่ใช่มีแต่เพียงบุคคลเดียว
การที่เรา "เพียงต้องการ" ที่จะเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว สิ่งนั้นปรากฏให้เห็นได้ ในขณะที่เห็นได้ เท่านั้นเอง ถ้า "ขณะนั้น" ไม่เห็น สิ่งนั้นก็ปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว เราไม่ได้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงเลย ว่า การที่เราเข้าใจว่า "เป็นบุคคล" ในขณะที่กำลังเห็นหรือ กำลังได้ยิน "เสียงของบุคคล" นั้นหมายความว่า ขณะที่เห็น ไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน แต่การเห็น และ การได้ยิน เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏ ทีละอย่างๆ
ถ้าเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ "ไม่ใช่บุคคล" แต่เป็น "เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา" ขณะได้ยินเสียง เสียงที่ได้ยินก็ไม่มีรูปร่างหน้าตา ว่าเป็น "บุคคล" ใดๆ เลย แต่เสียงมีจริง เพราะว่า เสียงเป็นสิ่งที่สามารถปรากฏให้รู้ได้ ว่า เสียงมีจริงเมื่อ "การได้ยิน" เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น "ธรรมะ" คือ สิ่งที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ และ ไม่ใช่ของใคร แต่ "ธรรมะ" คือ สิ่งที่มีจริง ที่เกิด-ดับ ตามเหตุ ตามปัจจัย ด้วยเหตุนี้ จึงควรเข้าใจจริงๆ ในคำว่า "ธรรมะ"
ที่เคยเข้าใจว่าเป็น "บุคคล" หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั้น ถ้าแตกย่อยแต่ละขณะๆ ของชีวิต ออกมาให้ละเอียด จนถึงแต่ละ ๑ ขณะ เช่น ขณะที่เห็น ไม่ใช่ ขณะที่ได้ยิน ฯ หมายความว่า การฟังพระธรรม ควรพิจารณาด้วยความละเอียด ให้เป็น "ความเข้าใจของแต่ละท่านที่กำลังฟัง" เป็นความเข้าใจจริงๆ ว่า พระธรรม หรือ "ธรรมะที่ได้ฟัง" เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ "ความจริงแท้ของทุกสิ่งทุกอย่าง" ความจริงแท้ของสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นทางตา ก็คือ "สิ่งที่มีจริง" ซึ่ง "เหนือความคาดหวังของใคร" ว่า มีสิ่งที่เป็นเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน แต่ สิ่งที่มีจริง ไม่ว่าจะเรียกว่า "ธาตุ" หรือ เรียกว่า "ธรรมะ" มีความหมายเหมือนกันคือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ใดๆ ทั้งสิ้น
ตามความเป็นจริงสิ่งที่ปรากฏทางตา ขณะนี้ เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งกำลังปรากฏให้เห็นเมื่อเกิด-ปรากฏ แล้วดับไปทันที อย่างรวดเร็วมาก แต่เมื่อมีการเกิด-ดับสืบต่อ จนกระทั่งปรากฏ เป็น "นิมิต-อนุพยัญชนะ" (รูปร่าง สัณฐาน -รายละเอียด) แล้วก็มี "ความจำ" ว่า สิ่งที่ปรากฏแต่ละอย่าง แต่ละลักษณะนั้น เป็นอย่างไร มีความจำได้ในสิ่งนั้น มีการคิดนึกถึงสิ่งนั้น และ มีการเรียกชื่อสิ่งนั้น
"ความจำ" เกิดขึ้นทุกขณะ ที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด-ปรากฏ-ให้จำได้ เพราะฉะนั้น "เป็นความจำ" ที่จำได้ ว่า "เป็นบุคลต่างๆ " ที่เคยเห็นแล้ว และ อยากเห็นอีก
ขออนุโมทนา