ปวารณาสูตร
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 325 ๗. ปวารณาสูตร
ว่าด้วยการทำปวารณา
[๗๔๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับที่พระวิหารบุพพารามปราสาทของนางวิสาชาผู้เป็นมารดามิคารเศรษฐี กรุงสาวัตถี กับพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป ล้วนเป็นอรหันต์ทั้งหมด. ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้อันภิกษุสงฆ์แวดล้อมประทับนั่งในที่แจ้ง เพื่อทรงปวารณาในวันอุโบสถที่ ๑๕ ค่ำ. ครั้นนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูเห็นภิกษุสงฆ์เป็นผู้นิ่งอยู่แล้ว จึงรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอปวารณาเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะไม่ติเตียนกรรมไรๆ ที่เป็นไปทางกายหรือทางวาจาของเราบ้างหรือ. [๗๔๕] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรลุกขึ้นจากอาสนะ. ทำผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่งแล้ว ประนมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทงั้หลายติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางพระกายหรือทางพระวาจาของพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้เลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะว่า พระผู้มีพระ-ภาคเจ้าทรงยังทางที่ยังไม่เกิดไห้เกิดขึ้น ทรงยังทางที่ยังไม่เกิดขึ้นพร้อมให้เกิดขึ้นพร้อม ทรงบอกทางที่ยังไม่มีผู้บอก เป็นผู้ทรงรู้ทาง ทรงรู้แจ้งทาง ทรงฉลาดในทางข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สาวกทั้งหลายในบัดนี้เป็นผู้เดินตามทางบัดนี้แลขอปวารณาพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าจะไม่ทรรงติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางกายหรือทางวาจาของข้าพระองค์บ้างหรือ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สารีบุตร เราติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางกายหรือทางวาจาของเธอไม่ได้เลย สารีบุตร เธอเป็นบัณฑิต สารีบุตรเธอเป็นผู้มีปัญญามาก เป็นผู้มีปัญญาแน่นหนา สารีบุตร เธอเป็นผู้มีปัญญาชวนให้ร่าเริง เป็นผู้มีปัญญาไว เป็นผู้มีปัญญาหลักแหลม เป็นผู้มีปัญญาแหลม คม สารีบุตร โอรสพระองค์ใหญ่ของพระเจ้าจักรพรรดิ ย่อมยังจักรอันพระ-ราชบิดาให้เป็นไปแล้ว ให้เป็นไปตามได้โดยชอบ ฉันใด สารีบุตร เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมยังธรรมจักรอันยอดเยี่ยม อันเราให้เป็นไปแล้วให้เป็นไปตามได้โดยชอบแท้จริง. ท่านพระสารีบุตรจึงกราบทูลอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ทรงติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางกาย หรือทางวาจาของข้าพระองค์ไซร้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าจะไม่ทรงติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางกายหรือทางวาจาของภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้บ้างหรือ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สารีบุตร เราไม่ติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางกายหรือทางวาจา ของภิกษุ ๕๐๐ รูปแม้เหล่านี้ สารีบุตร เพราะบรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านั้น ภิกษุ ๑๐ รูป เป็นผู้ได้วิชชา ๓ อีก ๖๐ รูปเป็นผู้ได้อภิญญา ๖ อีก ๖๐ รูป เป็นผู้ได้อุภโตภาควิมุตติ ส่วนที่ยังเหลือเป็นผู้ได้ปัญญาวิมุตติ. ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะลุกขึ้นจากอาสนะ ทำผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่งแล้ว ประณมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เนื้อความนี้ย่อมแจ่มแจ้งกะข้าพระองค์ข้าแต่พระสุคต เนื้อความนี้ย่อมแจ่มแจ้งกะข้าพระองค์. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า เนื้อความนั้นจงแจ่มแจ้งกะเธอเถิด วังคีสะ. [๗๔๖] ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะ ได้สรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้าในที่เฉพาะพระพักตร์ด้วยคาถาทั้งหลาย้อนสมควรว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถที่ ๑๕ ภิกษุ ๕๐๐ รูป มาประชุมกันเพื่อความบริสุทธิ์ ล้วน เป็นผู้ตัดกิเลสเครื่องประกอบและเครื่อง ผูกได้แล้ว เป็นผู้ไม่มีความคับแค้น เป็น ผู้มีภพใหม่สิ้นแล้ว เป็นผู้แสวงหาคุณอัน ประเสริฐ พระเจ้าจักพรรดิห้อมล้อมด้วย อำมาตย์เสด็จเลียบพระมหาอาณาจักรนี้ ซึ่ง มีสมุทรสาครเป็นขอบเขตโดยรอบ ฉันใด สาวกทั้งหลายผู้บรรลุไตรวิชชา ผู้ละ มฤตยุราเสียได้ ย่อมนั่งห้อมล้อมพระผู้มี พระภาคเจ้า ผู้ชนะสงความแล้ว เป็นผู้ นำพวกอันหาผู้นำอื่นยิ่งกว่าไม่มี ฉันนั้น พระสาวกทั้งหมดเป็นบุตรของพระผู้มีพระ ภาคเจ้า ผู้ชั่วช้าไม่มีในสมาคมนี้ ข้าพระ- องค์ขอถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ หักลูกศรคือตัณหาเสียได้ ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ พระอาทิตย์ ดังนี้. จบปวารณาสูตร