เหตุใดจึงต้องเป็น...จิรกาลภาวนา?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สนทนาธรรม ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๓ ถอดเทปบันทึกเสียง โดยคุณย่าสงวน สุจริตกุล
เรื่องของ "ความคิด" มีมากมาย มหาศาล แต่ "ความคิดทั้งหมด" ไม่ว่าจะคิดอะไร ก็เป็น "ธรรมะ" ธรรมะ เกิดขึ้น เพราะมีเหตุปัจจัย ปรากฏเพียงชั่วขณะที่แสนสั้น แล้วต้องดับไป หมดไป ไม่กลับมาอีกเลย ในสังสารวัฏฏ์ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ จริงๆ ก็จะทำให้มีความมั่นคง หมายความว่า ปัญญา และ สังขารขันธ์ที่มีปัจจัยให้เกิดขึ้นในขณะนี้ ที่กำลังเข้าใจ "ธรรมะ" ใช้คำว่า "น้อมไป" หรือ "บ่ายหน้าไปสู่ความจริง" ซึ่งกำลังปรากฏขณะนี้ หมายความว่า น้อมไปที่จะเข้าใจ ว่า เป็นความจริง อย่างนี้ แต่ ต้องอาศัยกาลเวลา ซึ่งยาวนานมาก จึงใช้คำว่า "จิรกาลภาวนา" อุปมา เหมือนการจับด้ามมีด ด้ามมีดใหญ่แค่ไหน ก่อนที่จะสิ้นชีวิตไปในชาตินี้ ด้ามมีดจะสึกไหม
เป็นการเปรียบเทียบกับวัตถุ เช่น "ขยะ" ขยะมีมากไหม ยังไม่เห็น "ขยะในใจ" เห็นขยะที่บ้านก่อนก็ได้ ทุกบ้านมีขยะ แต่เป็นเพียง"รูป" ซึ่งนำไปทิ้งได้
ถ้าจะอุปมา เป็น "น้ำในมหาสมุทร" หรือ "น้ำตาในสังสารวัฏฏ์" สังสารวัฏฏ์ที่ยาวนานมากและ "ขยะในมหาสมุทร" ก็มีมากเช่นเดียวกัน ก็ต้องมากอย่างนี้ และไม่มีที่จะเก็บ ถ้าเป็น "รูปธรรม" แต่เพราะว่า เป็น "นามธรรม" ซึ่งไม่มีรูปร่าง สัณฐาน หมายความว่า เป็น "ธาตุ" ที่สะสมสิ่งที่ได้เคยเกิดแล้ว อันเป็นปัจจัยให้เกิดอีกต่อไปจึงใช้คำว่า "สังสารวัฏฏ์" ซึ่งหมายถึง "การเกิด-ดับ-สืบต่อ-อย่างไม่ขาดสาย"
ในอดีต เป็นอย่างนี้ ในอนาคต ก็ต้องเป็นอย่างนี้.!ถ้ายังมี "ปัจจัย" ที่จะทำให้ "สังสารวัฏฏ์" เกิดขึ้นเป็นไปก็ต้องเป็นไป อย่างนี้ เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็น "ความเป็นอนัตตา" เพื่อที่จะเป็นปัจจัยให้ "ละ-ความไม่รู้"และ รู้กำลังของตนเอง ว่า สามารถที่จะเข้าใจ ข้อความในพระไตรปิฎกได้แค่ไหนเพื่อที่จะเป็นหนทางนำไปสู่ "ความเข้าใจ-ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้"
การศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆ และ กำลังปรากฏให้เข้าใจได้ไม่ใช่สิ่งที่อ่านพบในตำรา...แล้วสงสัยไม่รู้จบ.!เพราะอะไรคะ....? เพราะไม่รู้ ว่า "ขณะนี้...เป็นธรรมะ"
ถึงแม้ว่าจะได้ฟังข้อความต่างๆ จากพระไตรปิฎกตามเหตุ-ตามผล ที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดงโดยละเอียดด้วยประการทั้งปวงก็เพื่อให้เกิด "ความเข้าใจ-ขั้นความเห็นถูก-ในขณะที่ฟัง"
ฟังแล้วเข้าใจ ว่า เป็น "ธรรมะ"แต่เดี๋ยวก็ลืม เพราะฉะนั้น ฟังเท่าไร ก็ไม่พอ แต่ ควรทราบว่า จุดประสงค์จริงๆ ของการฟัง คือ เพื่อที่จะได้ "เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้" ฉะนั้น คำถามจะมีมากก็เพื่อที่จะทดสอบว่า ที่ฟังมาแล้ว เริ่ม ละคลายความยึดถือในสภาพธรรม เพราะ "เข้าใจขึ้น" บ้างหรือเปล่า
ทุกคำถาม...ก็ถามสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เช่น ถามว่า "เห็น" ขณะนี้ แล้วก็มี "ได้ยิน" ด้วยเห็น กับ ได้ยิน...รู้จักกันไหม
เห็น กับ ได้ยิน เป็น "ธรรมะ" แต่ละ ๑
เห็น กับ ได้ยิน เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกและ ตามความเป็นจริงนั้น. จากเห็น ไปถึงได้ยิน ยังห่างไกลกันมากด้วย
"การเห็น" ต้องอาศัย "จักขุปสาท" ที่กลางตา ซึ่งเป็น "รูปธรรม" จักขุปสาทรูป ซึ่งเป็น รูปธรรมที่มองไม่เห็นแต่ เป็น รูปธรรมที่มีลักษณะเฉพาะของตนคือ สามารถกระทบกับสิ่งที่กระทบได้ คือ "สีสัน วัณณะ" หรือ เรียกวา "สิ่งที่ปรากฏทางตา" เท่านั้น สิ่งที่ปรากฏทางตา ที่ต้องอาศัยการกระทบกับจักขุปสาทรูป นั้นจะยังไม่ปรากฏ ถ้า "จิตเห็น" ไม่เกิดขึ้น -กระทำกิจเฉพาะของตน คือ "เห็น" เมื่อ กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็รู้ได้ว่า การเห็น มีจริงๆ และเป็นการปรากฏ เพียงชั่วขณะที่สั้นมาก แล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย
ทุกขณะจิต...เป็นอย่างนี้คือ เกิดขึ้นปรากฏ ดับไปอย่างรวดเร็ว
เพราะฉะนั้นกว่าที่จะ "ได้ยิน" ทางหู (โสตปสาทรูป) และ "เสียง" ปรากฏ-ขณะที่ "ได้ยินเสียง" ไม่ได้เกิดพร้อมกับการเห็นหมายความว่าขณะที่ได้ยินเสียง ไม่ได้อาศัย จักขุปสาทรูป เสียงกระทบได้เฉพาะกับ โสตปสาทรูป ซึ่งอยู่กลางหูเพราะว่ามี โสตปสาทรูป และมีเสียง และ มีจิตได้ยิน เกิดขึ้นจึงปรากฏว่า มีเสียงจริงๆ มีโสตปสาทรูปที่กระทบเสียง และมีจิตได้ยินจริงๆ ในขณะที่ "กำลังได้ยินเสียง" นั่นเอง.
เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่า จิตเห็น และ จิตได้ยิน ไม่รู้จักกันเลย เพราะเหตุว่า เป็น "ธาตุที่ต่างกัน" ซึ่งมี "ลักษณะ" เกิดขึ้นทำกิจของตนแล้วดับไป
แต่เมื่อไม่รู้จัก "ธรรมะ" ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงและเพราะ "ความทรงจำ" (สัญญาเจตสิก) ซึ่งเกิดกับจิตทุกขณะที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ปรากฏกับจิตไม่ว่าจะเป็นจิตที่เกิดขึ้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และ ทางใจ
"ความทรงจำ" เป็นปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า สภาพธรรมรวมกันเป็น "เรา"เป็น "เรา" ที่อยู่ในโลก โดยที่ไม่รู้จัก "โลกตามความเป็นจริง"และยังคงเข้าใจผิด ว่า เห็นคนอยู่ในโลก รู้เรื่องราวต่างๆ ในโลก
"ความจริง" โลก คือ ๑ ขณะจิตไม่ว่าจะเกิดที่ไหนก็ตาม ก็เป็น "โลก" เพราะเหตุคือ "โลก" เกิดขึ้น และ ดับไป เพราะฉะนั้น นี่คือ "สิ่งที่เป็นจริง" เป็นจริงในขณะนี้ ในลักษณะอย่างนี้จนกว่า จะมีความเข้าใจถูกจริงๆ แล้วค่อยๆ ละ-คลาย-การยึดถือในสภาพธรรม.
ปัญญาในขั้น "การฟัง" เป็นเพียง "ปัญญาขั้นละความไม่รู้ ที่เกิดจากการไม่เคยได้ฟัง" เท่านั้นยังไม่ใช่ "การถึงเฉพาะลักษณะที่เป็นธรรมะ" จริงๆ เพราะฉะนั้น ถ้า "ความจริง" ปรากฏก็สามารถ ละคลาย ความเข้าใจผิด ที่ยึดถือสภาพธรรม ว่า "เป็นเรา"
ขออนุโมทา
เพราะฉะนั้น ฟังเท่าไร ก็ไม่พอ แต่ ควรทราบว่า จุดประสงค์จรงๆ ของการฟัง คือ เพื่อที่จะได้ "เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้"
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอเตือนตนเอง ด้วยข้อความที่ท่านว่า
"...ใช้คำว่า "น้อมไป" หรือ "บ่ายหน้าไปสู่ความจริง" ซึ่งกำลังปรากฏขณะนี้ หมายความว่า น้อมไปที่จะเข้าใจ ว่า เป็นความจริง อย่างนี้ แต่ ต้องอาศัยกาลเวลา ซึ่งยาวนานมากนะคะจึงใช้คำว่า "จิรกาลภาวนา" อุปมา เหมือนการจับด้ามมีด ด้ามมีดใหญ่แค่ไหน ก่อน ที่จะสิ้นชีวิตไปในชาตินี้ ด้ามมีดจะสึกไหม"
ครับ มีใคร? ที่กำลัง ทำ อะไร? หรือว่า ธรรมก็เป็นธรรม อย่างนี้ อย่างนี้ มีตัว มีตน อยู่ที่ไหน ที่อยากได้ อยากมี อยากเป็น น่ะ ... เป็นใคร