สีขาว
สีเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นรูปธรรมคือเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร สีไม่ดี ไม่ชั่วเพราะไม่ใช่นามธรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศล บุคคลจะประเสริฐหรือไม่ประเสริฐไม่ใช่ขึ้นอยู่กับสี แต่ขึ้นอยู่กับจิต บุคคลจะประเสริฐได้เพราะจิตที่บริสุทธิ์ จิตจะบริสุทธิ์ได้ด้วยการอบรมปัญญา คืออริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งก็ไม่พ้นจากการที่สติ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา สีจึงไม่เป็นประมาณให้บุคคลบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์
เชิญอ่านข้อความในพระไตรปิฎก
แต่คนเราก็หนีสีไปไม่พ้น และส่วนใหญ่ก็เก็บรายละเอียดของสีได้ดีมากๆ สีที่เป็นคน สัตว์ สิ่งของละเอียดไปถึง สีคนสวย คนหล่อ สัตว์สวย สัตว์น่ารัก ฯลฯ ยังไม่พอ เก็บรายละเอียดได้อีกว่า สีนี้คนดีใจ เสียใจ โกรธ โมโห แม้กระทั่งลักษณะการโกหก หลอกลวง ก็เห็นพอมองกระจกก็เห็นสีนี้เป็นเราอีก แม้จะตาบอดสีก็ยังเก็บรายละเอียดได้ดีไม่ต่างกันมาก ทั้งๆ ที่ อาจารย์ก็ว่าสีไม่รู้เรื่องอะไรเลย จะใช้สีให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไรดีครับ
สีก็คือสี ไม่รู้อะไรครับ สีไม่ได้ทำให้ใครเศร้าหมองหรือบริสุทธิ์ สีเป็นเพียงอารมณ์ของจิตเท่านั้น เพราะฉะนั้นเศร้าหมองก็เพราะกิเลสครับ พระอรหันต์ก็เห็นสี แต่ไม่เศร้าหมองเพราะไม่มีกิเลส ประโยชน์ในการใช้สี คือต้องอบรมปัญญาจนเข้าใจว่าสีเป็นธรรม ไม่ใช่เรา อันเป็นหนทางในการดับกิเลส
สีเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา การเกิดดับของจิตอย่างรวดเร็วทำให้เกิดเป็นรูปร่างที่ เรียกว่า ฆนบัญญัติเป็นนิมิตของ คน สัตว์ สิ่งของ เข้าใจถูกหรือผิดอย่างไรคะ
จิตเห็น เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฎทางตา (สี) แต่ในวาระจิตต่อๆ ไปก็จิตคิดนึกเป็นรูปร่างสัณฐาน เป็นกลุ่มก้อน เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ เป็นคนนั้นคนนี้ เพราะฉะนั้น ฆนบัญญัติจึงเป็นการรู้ความหมายโดยความเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่เพราะอาศัยสภาพธรรมที่มีจริง จึงมีฆนบัญญัติครับ ดังนั้น ที่ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว
การบูชาพระรัตนตรัยด้วยสี เช่น ขณะที่เราเอาดอกไม้สวยๆ ดอกบัว ดอกมะลิ ไปบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยความนอบน้อมจิต ขณะนั้นเป็นกุศลค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะและขอความกรุณาทวนสอบความเข้าใจดังนี้
สีเป็นสัญญาเรียกว่า จักขุสัญญา มากระทบกับ จักขุปสาท และเป็นธรรมชาติของปุถุชน ที่มี อเหตุกจิต ที่เรียกว่า อุเปกขา สหคตัง จักขุวิญยานัง อสังขาริกัง กามาวจรอเหตุกะ อกุสลวิปากจิตตังและ กุสลวิปากจิตตังจึงเกิดสัญญา ว่า ชอบไม่ชอบ เป็นกามสัญญาอย่างนั้นใช่หรือไม่คะ
อารมณ์และความคิด ที่เกิดหลังจากการเห็นสี ...ทั้งหมดเป็นสิ่งสมมติ ไม่มีจริง
ความคิดคือจิตมีจริงครับ แต่เรื่องราวที่คิด (บัญญัติ) ไม่มีจริง
สีไม่ใช่สัญญา สภาพธรรมี 2 อย่างคือนามธรรมและรูปธรรม นามธรรมเป้นสภาพรู้รูปธรรมคือไม่ใช่สภาพรู้ จิตและเจตสิกเป็นนามธรรมเพระเป็นสภาพรู้ สัญญาเป็นเจตสิกประเภทหนึ่งทำหน้าที่จำ เป้นนามธรรม รูปธรรมเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย สีเป็นรูปธรรมประเภทหนึ่ง สีไม่รู้อะไร สีไม่นึกคิด ไม่จำ ไม่เดือดร้อน สีไม่รู้อะไรทั้งนั้น สีจึงเป้นรูปธรรม สัญญาเป็นนามธรรมเพระฉะนั้น สีไม่ใช่สัญญาแต่สีเป็นรุปธรรม
ไม่ใช่จักขุสัญญามากระทบกับประสาทรูปครับ ตามที่ได้กล่าวแล้ว สัญญาไม่ใช่สี สัญญาเป็นนามธรรม สภาพธรรมที่กระทบจักขุปสาทรูปได้ มีเพียงสี (วัณณรูป) เท่านั้น
ส่วนปุถุชนหรือแม้พระอริยบุคคลแลแม้แต่พระอรหันต์ก็ต้องมีจิตเห็นด้วยกันทั้งนั้น ทั้งเห็นสิ่งที่ดีที่เป้นกุศลวิบากทางตาและเห็นสิ่งที่ไม่ดีที่เป็นอกุศลวิบากทางตาเช่นกัน ไม่จำกัดเฉพาะปุถุชน แม้พระพุทธเจ้าก็ทรงเห็นสิ่งที่ไม่ดีบ้างเป็นธรรมดา
ส่วนเมื่อเห็นแล้วชอบหรือไม่ชอบ ขณะที่ชอบก็เป็นโลภมูลจิต ขณะที่ไม่ชอบก็เป็นโทสมูลจิต สัญญาเกิดกับจิตทุกประเภท ขณะที่ยินดีพอใจในสิ่งที่เห็น ได้ยิน ขณะนั้นก็ต้องเป็นกามสัญญาที่เป็นในอกุศลครับ ส่วนขณะที่ไม่ชอบเป็นโทสมูลจิต ซึ่งไม่ใช่กามสัญญา เพราะขณะนั้นไม่ได้พอใจในสิ่งที่เห็น ได้ยิน เป็นต้น