ไม่มีใครชนะ !

 
พุทธรักษา
วันที่  24 ก.พ. 2553
หมายเลข  15595
อ่าน  1,195

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความบางตอนจากหนังสือ "บุญญกิริยาวัตุถุ" โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คุณวันทนา ทิพวัลย์

ส. เวลาที่คุณวันทนาชนะใครแล้ว คุณวันทนาดีใจไหมคะ

ว. ดีใจค่ะ ถ้าลำพัง "ตัวเอง" ก็ดีใจคนเดียว หรือว่า ถ้า "พวกพ้องของเรา" ชนะ อย่างเช่นเวลาแข่งขันกีฬา "เรา" ก็จะยิ่งดีใจใหญ่ และก็มี "หลายคน" มาช่วยดีใจด้วย.

ส. ขณะที่ "ชนะ" แล้วดีใจมีความสำคัญตนว่า "เรา" ชนะ ในขณะนั้นด้วย

ว. ค่ะ เพราะว่าขณะนั้น มีความสำคัญตน ว่า "เราชนะ"

ส. ความสำคัญตนว่าเราชนะ เป็น "มานะ" แต่ว่ามานะในเรื่องอื่น ไม่แรงเท่ากับ "การยกตนข่มผู้อื่นด้วยกาย วาจา"

ขออนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ขอธรรมทาน
วันที่ 24 ก.พ. 2553

ขอบคุณครับ

ผมไม่ชอบอย่างมากเวลาถูกคนอื่นยกตนข่ม ดังนั้นผมก็จะพยายามไม่ยกตนข่มผู้อื่นเช่นกัน แต่ถ้าถูกคนอื่นยกตนข่มแล้ว ควรแก้ไขอย่างไรดีครับ ที่ผมใช้คือ

1. ขันติ --> แบบนี้ใช้ได้ไม่นาน พอหยุดก็จะออกมาอีก แต่ใช้ในเบื้องต้นได้ดี

2. เจริญเมตตา --> เวลาเจริญเมตตา ความโกรธจะหายไปหมดเลย มีแต่เมตตาๆ อย่างเดียว รู้สึกเป็นเพื่อนได้กับทุกอย่าง แม้อยู่ในที่ๆ น่ากลัวก็รู้สึกไม่กลัว แต่พอหยุดเจริญไปสักพักก็อาจจะ กลับมาได้อีก

3. ตามรู้จักความโกรธ ตามดู ตามรู้ัจักมัน แต่ไม่ได้ไปดื่มด่ำกับมันนะ --> อันนี้จะหายได้อย่างประหลาด เหมือนกับพอเราเป็นผู้ดูปุ๊บ มันก็จะอยู่ได้อีกไม่นานเลย แล้วก็จะหายไปเอง แล้วเราก็จะรู้สึกหลุดพ้นจากมันอย่างมากๆ จริงๆ แต่บางทีพอหยุดให้สติตามรู้ ก็จะกลับมาอีกได้หนะครับ

หากที่ผมทำยังไม่ดีพอยังไม่ถูกต้องพอ

ช่วยเสริมให้ดียิ่งขึ้นด้วยนะครับ

และตรงไหนที่ดีอยู่แล้วช่วยให้กำลังใจด้วยนะครับ ผมอยากจะดีกว่านี้ ขอบคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
พุทธรักษา
วันที่ 24 ก.พ. 2553

ขอเชิญทุกท่านร่วมสนทนา.....ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Sam
วันที่ 24 ก.พ. 2553

หากศึกษาพระธรรมจนมีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม จะเริ่มเข้าใจว่าไม่มีใครคนอื่นที่ทำความเสียหายให้เราเลย เพราะสิ่งที่ปรากฎทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และทางกายนั้น เป็นเพียงรูปธรรมที่ไม่รู้อะไร และไม่มีเจตาร้ายใดๆ แฝงอยู่ในรูปเหล่านั้นแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่มีอยู่เสมอคือกิเลสในใจ ที่เห็นแล้วคิด ได้ยินแล้วคิด ได้กลิ่นแล้วคิด ลิ้มรสแล้วคิด กระทบสัมผัสแล้วคิด ซึ่งเป็นไปในทางที่พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง และรุมเร้าให้รู้สึกเป็นทุกข์ใจอยู่เสมอครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 24 ก.พ. 2553

เรียน ความเห็นที่ 1

พระธรรมก็เกื้อกูลตามระดับความเข้าใจและก็เหมาะสมตามระดับของกุศลธรรมนะครับขณะที่อกุศลเกิดจากความไม่พอใจของคำพูดของคนอื่น เพราะอะไรครับ เพราะสะสมกิเลสมามาก มีเหตุก็เกิดขึ้น อยากให้ไม่เกิดก็ไม่ได้ครับเพราะเมื่อมีกิเลสแล้วเมื่อเหตุพร้อมคือคนอื่นพูดวาจาไม่ดีมาก็เกิดอกุศลเกิดขึ้นแล้วในขณะนั้น

ถามว่าทำอย่างไร ถ้าตอบว่าอย่าโกรธ ก็เป็นไปไมได้ ให้มีเมตตา ถ้าเมตตาไม่เกิด ก็เป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้เพราะทุกอย่างเป็นธรรม ขอให้เข้าใจกับคำว่าอนัตตาเป็นหลัก ว่าไม่มีใครจะใช้ จะทำอะไรได้เมื่อสภาพธรรมอะไรเกิดก็เป็นอนัตตาทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยไป เพระไม่มีใครปล่อยครับ ธรรมทำหน้าที่อีกเช่นกัน

ขันติกับเมตตาจึงต้องมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น นั่นคืออาศัยการฟังพระธรรม การฟังในเรื่องของความไม่โกรธ เรื่องของคุณของเมตตา เป็นต้น อย่างไรก็ดีจากที่คุณกล่าวในข้อที่ 3 นะครับ เรื่องการตามดู ตามดูจิต ตามดูอกุศลเรียนอย่างนี้ครับ การอบรมปัญญาที่ถูกต้องนะครับคือการรู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ขณะที่ตามดูก็ยังเป็นเราที่ตามดู ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง ที่สำคัญการอบรมปัญญาที่ถูกต้องไม่ใช่การพยายามให้อกุศลทีเกิดแล้วให้หายไป หรือเข้าใจว่าถ้าอกุศลหายไปแล้วดี แต่ขณะนั้นปัญญาก็ไม่รู้อะไร สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจความจริงที่กำลังปรากฎแม้อกุศลที่เกิดขึ้นว่าคืออะไร เป็นธรรมทั้งหมด เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ...การดูจิต ส่วนการอยากที่จะดีกว่านี้ จะดีได้ด้วยปัญญาและความเห็นถูกครับ เป็นผู้ละเอียดใน

การศึกษาธรรม ฟังพระรรมเพื่อเข้าใจความจริง ฟังพระธรรมเพื่อขัดเกลากิเลส ค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อปัญญาเพิ่มขึ้น การให้กำลังใจที่ดีคงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการให้เข้าใจพระธรรม

ขออนุโมทนาที่ยังเป็นผู้ใคร่ศึกษาที่จะเข้าใจพระธรรมครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 25 ก.พ. 2553

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pornpaon
วันที่ 25 ก.พ. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
tharo
วันที่ 26 ก.พ. 2553

ขอบคุณที่ช่วยเตือนสติครับ ไม่มีคำถามแต่ขอเสริมครับ บางครั้งผมก็รู้สึกว่าเราชนะที่เอาชนะความโกรธได้ จนทำให้หลงว่าเราเก่ง แต่ก็ต้องแข่งกับโทสะ ชนะบ้าง แพ้บ้าง ไม่่แน่นอนและไม่มีที่สิ้นสุด ตกเป็นทาสของโทสะ เมื่อแพ้ หลงลำพองยึดถือในตัวตนเมื่อชนะ (แต่แพ้ต่อกิเลส) หากหลุดพ้นจากผู้ชนะ (ไม่จริง) และผู้แพ้ได้ถือว่าประเสริฐยิ่งครับ

ผมคิดว่าเราเป็นฝ่ายแพ้ต่ออวิชชาเป็นตัวชักนำไปสู่มารแห่งสังสารวัฏฏ์คือกิเลส การเกิด และการตาย ไม่สิ้นสุด ผมขอศึกษาพระธรรมและนำไปปฏิบัติตามเพื่อหลุดพ้นจากอวิชชาและกิเลสตลอดกาลครับ หากมีสิ่งใดที่คลาดคลื่อนไปต้องอภัยและโปรดชี้แจงด้วยครับ

ขอขอบคุณและอนุโมทนาในการสนทนาในพระธรรม

ของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
พุทธรักษา
วันที่ 26 ก.พ. 2553

ไม่มีใครชนะ...เพราะมีแต่ "ธรรมะ" คือ กรรม กิเลส วิปาก

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
คุณ
วันที่ 27 ก.พ. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ