การฟังและการเจริญสติปัฏฐาน [๑]
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สนทนาธรรมเรื่อง "พื้นฐานพระอภิธรรม" ณ อาคารมูลนิธิ วันอาทิตย์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ถอดเทปบันทึกเสียงโดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล
ท่านวิทยากร ได้ฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์ที่กล่าวไว้ว่า การอบรมเจริญสติปัฏฐานไม่ใช่การพยายามที่จะไม่ให้รู้ ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏนั้น เป็นอะไร บุคคลที่ยังไม่เข้าใจเรื่องของ "ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม" และ มีความพยายามที่จะให้เป็นอย่างนั้น ก็ย่อมไม่ถูกแน่นอน
แต่ขณะที่สภาพธรรมกำลังปรากฏอยู่ และขณะที่กำลังพยายาม (ที่จะไม่รู้) แม้เพียงเล็กน้อย ขณะนั้นไม่ใช่ "สติปัฏฐาน" แล้วเพราะว่าบางครั้ง ก็เป็นไปได้ ที่จะมีความพยายามอย่างนั้น
ท่านอาจารย์ เป็นเรื่องของ"ความไม่รู้" ทั้งหมดเลย ใช่ไหมคะ.?สติ หรือ ไม่ใช่สติ ยังไม่ใช่ ความรู้ชัด เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว ก็คือว่า สภาพธรรม "เป็นปกติ" ถูกหรือเปล่า ขณะนี้...เป็นสภาพธรรม (ที่กำลังปรากฏ) เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างในขณะนี้ ที่ "เป็นปกติ" หรือยัง ไม่ใช่ไปมุ่งที่สติปัฏฐาน ไม่ใช่ไปมุ่งที่ชื่อแล้วเกิดความสงสัยว่า อย่างนี้ เป็นสติ หรือเปล่า
แต่ว่า ลักษณะของสภาพธรรม มีจริงเพราะฉะนั้น จากการที่รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรมะ เป็นความรู้เพียงขั้นฟังเท่านั้น จริงๆ แล้ว จิต เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นรู้จิต จะเกิดขึ้น โดยไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้จิตรู้ ไม่ได้
ฉะนั้น ในขณะนี้ อะไรก็ตามที่ปรากฏให้จิตรู้ท่านผู้ฟัง ลืม หรือ รู้ ว่าขณะนั้นมี "ธาตุรู้" ที่กำลังทำกิจรู้สิ่งที่กำลังปรากฏซึ่งเป็นเหตุปัจจัยให้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ปรากฏได้ เช่น ในขณะที่เห็น มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เพราะมีจิตเห็นเกิดขึ้นถ้าจิตเห็นไม่เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ปรากฏให้เห็น ไม่ได้
เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคง ว่า ขณะนี้เป็นธรรมะและ การศึกษาธรรมะ คือ ศึกษาให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏโดยที่ยังไม่ต้องไปคำนึงถึงคำว่า "สติ" ไม่ต้องไปคิดว่า ใช่สติหรือเปล่า
แต่เป็นผู้ที่เริ่มรู้ว่า ความเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ จากการฟังทั้งๆ ที่สิ่งที่มีจริงๆ กำลังปรากฏอยู่ ท่านผู้ฟังมีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏเท่ากับความเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟังหรือเปล่า ขณะนี้ กำลังมีสภาพธรรมปรากฏเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เท่ากับความเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังหรือ เข้าใจเรื่องของสิ่งที่กำลังปรากฏ จากการฟังหรือยัง เพราะว่า มีสิ่งที่มีจริงๆ โดยไม่ต้องเรียกชื่อใดๆ ทั้งสิ้นสิ่งที่มีจริง คือ ความจริง และความจริง...ก็ต้องจริง.
สิ่งที่มีจริงเกิดขึ้น - มี แต่ยังไม่รู้ว่า สิ่งนั้นเป็นความจริงคือ เกิดแล้วดับ สั้นมาก เล็กน้อยมาก ตามความเป็นจริงสภาพธรรมแต่ละอย่าง ที่ปรากฏ ไม่ได้ปรากฏพร้อมกันเลยสักอย่างไม่ว่าจะเป็นเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส และ คิดนึกจิตขณะหนึ่งเกิดขึ้น รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วดับไปอย่างรวดเร็วมาก เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เท่ากับเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังหรือยัง
ฉะนั้น ยังไม่ต้องคิดถึงเรื่องสติปัฏฐานเพราะว่า ขณะใดก็ตามที่กำลังเข้าใจ...เป็นเราหรือเปล่า เห็นไหม ความละเอียดของพระธรรมขณะที่กำลังฟังเรื่องการเห็น แล้วก็มีการเห็นแล้วก็กำลังเข้าใจจริงๆ ว่า การเห็น มีจริง คือเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้น เห็นขณะที่เข้าใจอย่างนี้ ต้องมีสติเกิดร่วมด้วยแล้ว เพราะเหตุว่า ขณะที่เข้าใจ ไม่ใช่ขณะที่ไม่เข้าใจแต่ถ้าขณะที่ฟัง แล้วยังไม่เข้าใจ จะกล่าวว่าขณะนั้นเข้าใจ ก็ไม่ได้
ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อสภาพธรรมจริงๆ เป็นผู้ที่ตรงต่อคำที่ได้ฟัง ฉะนั้น ขณะนี้ กำลังมีสิ่งที่ปรากฏ ไม่ต้องคิดถึงคำว่า "สติ" แต่เริ่มรู้จัก ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏนี้ มีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่นื่องจากสภาพธรรมเกิดดับอย่างรวดเร็วมากจึงทำให้ไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า ขณะที่เห็น ไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน ไม่ใช่ขณะที่กำลังคิดเพราะความรวดเร็วในการเกิด-ดับ-สืบต่อ-ของสภาพธรรมนั่นเอง
สภาพธรรมเกิดดับรวดเร็วมากสักแค่ไหน จนใครก็ไม่สามารถที่จะรู้ตามความเป็นจริงได้และถ้าไม่มีการฟัง ก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง ว่า ความจริงของสภาพธรรม เป็นอย่างนี้จริงๆ หรือเปล่านี่ก็แสดงให้เห็นว่า ยังไม่ต้องไปคิดไกลถึง "สติปัฏฐาน"
ขออนุโมทนา