ที่พึ่งที่แท้จริง.

 
พุทธรักษา
วันที่  25 มี.ค. 2553
หมายเลข  15780
อ่าน  2,044

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สนทนาธรรมเรื่อง "พื้นฐานพระอภิธรรม"
ณ อาคารมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันอาทิตย์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
ถอดเทปบันทึกเสียง โดย
คุณสงวน สุจริตกุล

ท่านวิทยากร กราบเรียนถามว่า "การระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ ตามปกติ ตามความเป็นจริง" เป็นที่พึ่งได้อย่างไร

ท่านอาจารย์ ขณะใดที่กำลังรู้ลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ สิ่งที่มีจริง-ที่กำลังเกิด-ดับ เป็นที่พึ่งได้ไหม (โดยมาก) เราคิดว่าสามารถที่จะพึ่งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสญาติ-มิตร-สหาย ฯลฯ ถึงแม้จะไม่ได้ "ศึกษาพระธรรมโดยละเอียด" แต่ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ก็จะต้องจากเราไป ช้า หรือ เร็ว เท่านั้นตามความเป็นจริง

สิ่งที่ปรากฏทางตา เกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องดับหมดไป อย่างรวดเร็ว มีจริงเพียงชั่วขณะที่ปรากฏให้เห็น แล้วจะเป็น "ที่พึ่งที่แท้จริง" ได้อย่างไร เพียงแค่ "สิ่งที่ปรากฏให้เห็น" เกิดแล้วก็ดับ และอาจจะจำไม่ได้ด้วย ถ้าไม่ได้คิดถึง แต่ เมื่อเห็นอีก ก็เหมือนกับมีอีก

ฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏ ที่เกิด-ดับๆ นั้น ถึงแม้ปรากฏแล้ว จะเป็น "ที่พึ่งที่แท้จริง" ได้ไหม แต่ "ความเข้าใจความจริงของธรรมะ" เป็นที่พึ่งได้ เป็น "ที่พึ่งที่แท้จริง" ได้แม้ในขณะที่กำลังจะจากภพชาตินี้ไป

ขณะที่มีสภาพธรรมเกิดขึ้น ปรากฏ แล้วสามารถรู้ "ความจริง" ขณะนั้น มีปัญญา-ที่ไม่มีเราและมีสภาพธรรม ที่ปรากฏให้ศึกษาและเข้าใจ-ตามความเป็นจริงได้

ปัญญา คือ "ที่พึ่งที่แท้จริง" สำหรับ "ขณะจิต" ที่กำลังจะจากภพชาตินี้ ไปสู่ภพชาติที่จะไปเกิดต่อ เพราะว่า "จิต" ซึ่งเป็น "ผลของปัญญา" เป็นปัจจัยให้ "ปฏิสนธิจิตที่จะเกิดขึ้นในภพชาติต่อไป "ประกอบด้วย อโลภเจตสิก อโทสเจตสิก ปัญญาเจตสิก (อโมหเจตสิก) ตลอดชีวิตที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส และคิดนึกสิ่งที่ปรากฏต่างๆ ที่คิดว่าเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ และจำไว้ ว่าเป็นเรา เป็นของเราดูเหมือนว่าจะพึ่งได้

แต่ขณะที่กำลังจะจากภพชาตินี้ไป พึ่งได้ไหม ความเป็นจริง คือ สิ่งที่ปรากฏ ที่มีจริงๆ นั้นเป็นเพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้น "แล้วแต่กรรมจะนำมา" เช่น ขณะที่เห็น จิตเห็นเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยที่ได้กระทำแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นได้เลย ทุกคนก็คงอยากเห็นแต่สิ่งที่น่าพอใจแต่ เราสามารถที่จะเห็นแต่สิ่งที่อยากเห็น ได้หรือเปล่า

ตามความเป็นจริงเมื่อ "ถึงกาละ" ที่เป็นผลของกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดจิตเห็น การเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา จึงจะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้า "ยังไม่ถึงกาลละ" ที่ผลของกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดจิตเห็น การเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็เกิดขึ้นไม่ได้

เพราะฉะนั้น ลองพจารณาดู ที่พึ่งจริงๆ ตั้งแต่เกิดมา จนกระทั่งเติบโต สิ่งที่เป็นคิดว่าเป็น "ที่พึง" เช่น วงศาคณาญาติ อาชีพต่างๆ ความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการ ฯลฯ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เมื่อเกิดขึ้น ก็หมดไปทั้งนั้น แล้วพึ่งได้ไหม เมื่อเปรียบกับ "ความเข้าใจพระธรรม" ขณะที่กำลังเข้าใจพระธรรม (ที่ได้ศึกษา ไม่ว่าจะฟัง อ่าน สนทนา ฯ) ขณะนั้น กำลัง "มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง" เพราะว่า ขณะนั้น จิต ปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ

ในขณะที่กำลังเข้าใจจริงๆ ว่า ไม่มีอะไรเลย ทั้งหมดว่างเปล่า เพราะทั้งหมด เพียงเกิดขึ้นแล้วดับไปหมด เมื่อดับหมด สิ่งที่คิดว่ามี ก็ไม่มีอีกต่อไป ถ้ามี "ความเข้าใจพระธรรม" อย่างนี้ หมายความว่า "จิตขณะนั้น" ปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ "ขณะจิตนั้น" เป็นที่พึ่งได้ไหม ทั้งใน "ขณะจิตนั้น" เอง ขณะต่อๆ ไป จนกระทั่งถึงชาติต่อๆ ไปด้วย

ในทางตรงกันข้าม ขณะที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ แล้วเกิด "ความติดข้อง" จิตขณะนั้นเป็นที่พึ่ง ที่จะไม่ให้มีความติดข้อง ได้ไหม ไม่ได้เลย หรือ เมื่อสิ่งที่ปรากฏ เป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจจิตขณะนั้น เป็นที่พึ่ง ที่จะไม่ให้โกรธ ได้ไหม ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น "ที่พึ่งที่แท้จริง" คือ "ปัญญา" หรือ "ความเห็นถูก"

ขณะใด "จิตประกอบด้วยปัญญา-ความเห็นถูก" ขณะนั้น ไม่มี "อกุศลใดๆ " เกิดขึ้นได้เลย และถ้ามีปัญญามากขึ้น จนกระทั่งสามารถดับอกุศลทั้งหมดที่สะสมมา โดยไม่เหลือเลยและ อกุศลใดๆ ก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้อีกเลย อย่างนี้เป็น "ที่พึ่งที่แท้จริง"


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
พุทธรักษา
วันที่ 25 มี.ค. 2553

ผลของกุศลกรรมที่ประกอบด้วย "ปัญญา" เป็น "ที่พึ่งที่แท้จริง"...ในขณะที่กุศลกรรมนั้นกำลังให้ผล เช่น ขณะที่ใกล้สิ้นชีวิต ขณะที่ใกล้จะเกิดจุติจิต...เป็นจิตที่ไม่เศร้าหมอง คือ จิตขณะนั้นผ่องใส ซึ่งก็แล้วแต่เหตุปัจจัย ว่า "กรรมไหนจะให้ผล"และไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ ว่า ขณะนั้นกรรมไหนจะให้ผล

เมื่อมีการกระทำกรรมดีในภพชาตินี้ และ ในภพชาติก่อนๆ กรรมดีก็เป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้น เราย่อมรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงได้ ว่าตั้งแต่เกิดมา จนกระทั่งขณะนี้ มีที่พึ่งที่แท้จริง หรือเปล่า และเมื่อจากภพชาตินี้ไปแล้วจะพึ่งสิ่งใด ที่จะนำไปสู่ที่ปลอดภัย ที่ไม่ใช่อบายภูมิ ๔.

พระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด เราอาจจะคิดว่า เราไม่ต้องพึ่งอะไรเลย หรือ ไม่จำเป็นต้องมีที่พึ่ง แต่ควรพิจารณาว่าเมื่อสิ้นชีวิตจากภพชาตินี้ไป แล้วจะไปเกิดที่ไหนถ้าไม่มี "ที่พึ่งที่แท้จริง" ถ้าไม่มี "ที่พึ่งที่แท้จริง" คือ กุศลกรรมที่กระทำในชาตินี้ ที่มีกำลังมากพอ หรือว่า อกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว เป็นอกุศลกรรมที่ร้ายแรงมากก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ไม่สามารถไปสู่ภพภูมิที่ดีได้

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม เพื่อความเข้าใจพระธรรม ย่อมนำไปสู่การที่จะรู้ว่า อะไรเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 26 มี.ค. 2553

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
aditap
วันที่ 26 มี.ค. 2553

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
คุณ
วันที่ 26 มี.ค. 2553

ขออนุโมทนาต่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เมตตา
วันที่ 27 มี.ค. 2553

เมื่อเปรียบกับ "ความเข้าใจพระธรรม" ขณะที่กำลังเข้าใจพระธรรม ที่ได้ศึกษา ไม่ว่าจะฟัง อ่าน สนทนา ฯ ขณะนั้น กำลัง "มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง"

... กราบอนุโมทนาค่ะ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Komsan
วันที่ 28 มี.ค. 2553

ขอขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Sam
วันที่ 29 มี.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 16 มี.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 16 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ