การให้ผลของกรรม [อรรถกถาโลณกสูตร]

 
Khaeota
วันที่  26 เม.ย. 2553
หมายเลข  15963
อ่าน  1,544

[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 495

อรรถกถา โลณกสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในโลณกสูตรที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :-

บทว่า ยถา ยถาย ตัดบทเป็น ยถา ยถา อย

บทว่า ตถา ตถา ต ได้แก่ ตถา ตถา ต กมฺม มีคำอธิบายดังนี้ว่า ผู้ใดพึงกล่าวไว้อย่างนี้ว่า บุคคลทำกรรมไว้โดยประการใดๆ ก็จะเสวยวิบาก (ผล) ของกรรมนั้นโดยประการนั้นๆ เพราะว่าใครๆ ไม่สามารถที่จะไม่เสวยวิบากของกรรมที่ทำไว้แล้ว เพราะฉะนั้น บุคคลทำกรรมไว้เท่าใด ก็จะเสวยวิบากของกรรมเท่านั้นทีเดียว

บทว่า เอว สนฺต คือ เอว สนฺเต แปลว่า เมื่อเป็นอย่างนี้

บทว่า พฺรหฺมจริยวาโส น โหติ ความว่า อุปปัชชเวทนียกรรมใดที่ทำไว้ก่อนการทำมรรคให้เกิดมี เพราะอุปปัชชเวทนียกรรมนั้นอันตนจะต้องเสวยเป็นแน่แท้ พรหมจรรย์แม้อยู่จบแล้ว ก็ไม่เป็นอันอยู่เลย

บทว่า โอกาโส น ปญฺญายติ สมฺมา ทุกฺขสฺส อนฺตกิริยาย ความว่า ก็เพราะเหตุที่เมื่อเป็นเช่นนี้ การประมวลกรรม และการเสวยผลของกรรมยังคงมีอยู่ ฉะนั้น โอกาสแห่งการทำที่สุดแห่งวัฏทุกข์ โดยเหตุโดยนัยชื่อว่าไม่ปรากฏ

บทว่า ยถา ยถา เวทนิย ได้แก่ อันตนพึงเสวยโดยอาการใดๆ

บทว่า ตถา ตถาสฺส วิปาก ปฏิสเวทิยติ ความว่า เสวยวิบากของกรรมนั้นโดยอาการนั้นๆ มีคำอธิบายดังนี้ว่า ในชวนจิตทั้ง ๗ กรรมในชวนจิตที่ ๑ นั้นใด เมื่อมีปัจจัย ก็ได้วาระที่จะให้ผลทันที กรรมนั้นจัดเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม เมื่อไม่มีปัจจัย ก็จะชื่อว่าเป็นอโหสิกรรม ส่วนกรรมในชวนจิตที่ ๗ อันใด กรรมนั้นเมื่อมีปัจจัย ก็จะเป็นอุปปัชชเวทนียกรรม เมื่อไม่มีปัจจัย ก็จะชื่อว่า เป็นอโหสิกรรม และกรรมในชวนจิตทั้ง ๕ ในท่ามกลางอันใด กรรมนั้นชื่อว่า อปราปริยเวทนียกรรม ตราบเท่าที่ยังท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏฏ์ บุรุษ (บุคคล) นี้ทำกรรมนั้นไว้จะพึงเสวยได้ โดยอาการใดๆ ในบรรดาอาการเหล่านี้ ก็จะเสวยวิบากของกรรมนั้นโดยอาการนั้นๆ ทีเดียว แท้จริง ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาว่า กรรมที่ได้วาระให้ผลแล้วเท่านั้น ชื่อว่า ยถาเวทนิยกรรม

บทว่า เอว สนต ภิกฺขเว พฺรหฺมจริยวาโส โหติ ความว่า คำที่กล่าวไว้ว่า ชื่อว่ามีการอยู่พรหมจรรย์ที่ทำกรรมให้สิ้นไป เพราะกรรมที่จะต้องทำให้สิ้นไป ยังมีอยู่ดังนี้ เป็นอันกล่าวไว้ดีแล้วทีเดียว

บทว่า โอกาโส ปญฺญายติ สมฺมา ทุกฺขสฺส อนฺตกิริยาย ความว่า เพราะเหตุที่เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะไม่เกิดวัฏทุกข์ต่อไปในภพนั้นๆ เพราะอภิสังขารวิญญาณดับไปด้วยมรรคนั้นๆ ฉะนั้น โอกาสแห่งการทำที่สุดแห่งทุกข์ด้วยดีจึงปรากฏ

ยถาเวทนิยกรรม

บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงสภาพแห่งยถาเวทนิยกรรมนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า อิธ ภิกฺขเว เอกจฺจสฺส เป็นต้น

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปฺปมตฺตก ได้แก่ ปริตตกรรม คือ กรรมนิดหน่อย กรรมเบา กรรมเล็กน้อย กรรมลามก

บทว่า ตาทิส เยว ได้แก่ วิบากที่เห็นสมด้วยกับกรรมนั้นแล

บทว่า ทิฏฺ ธมฺมเวทนิย ความว่า ในกรรมนั้นแล มีอธิบายว่า กรรมที่จะพึงให้ผล เมื่อได้วาระที่จะให้ผลในปัจจุบัน ก็จะกลายเป็น ทิฏฐธรรมเวทนิยกรรม.

บทว่า นาณุปิ ขายติ ความว่า (กรรมเล็กน้อยนั้น) ไม่ปรากฏแม้ (เพียง) เล็กน้อยในอัตภาพที่ ๒ อธิบายว่า ไม่ให้ผล แม้เพียงเล็กน้อยในอัตภาพที่ ๒

บทว่า พหุเทว ความว่า ส่วนกรรมที่มากจักให้ผลได้อย่างไรเล่า ปุถุชนผู้เว้นจากภาวนา (เจริญสติปัฏฐาน) ในกาย เป็นผู้มีปกติไปสู่วัฏฏะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงด้วยบทว่า อภาวิตกาโย เป็นต้น

บทว่า ปริตฺโต ได้แก่ มีคุณนิดหน่อย

บทว่า อปฺปาตุโม ความว่า อัตภาพเรียกว่า อาตุมะ ปุถุชนชื่อว่ามีอัตภาพเล็กน้อยโดยแท้ เพราะแม้เมื่ออัตภาพนั้นจะใหญ่ แต่ก็มีคุณเล็กน้อย

บทว่า อปฺปทุกฺขวิหารี ความว่า มีปกติอยู่เป็นทุกข์ด้วยวิบากเล็กน้อย พระขีณาสพ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงด้วยบทว่า ภาวิตกาโย เป็นต้น. อธิบายว่า พระขีณาสพนั้น ชื่อว่า มีกายอบรมแล้ว ด้วยภาวนากล่าวคือกายานุปัสสนา หรือชื่อว่า มีกายอบรมแล้ว เพราะเจริญกายานุปัสสนา

บทว่า ภาวิตสีโล แปลว่า เจริญศีล แม้ในสองบทที่เหลือก็มีนัยนี้แล อีกอย่างหนึ่ง พระขีณาสพ ชื่อว่า มีกายอบรมแล้ว ด้วยอบรมปัญจทวาร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอินทรียสังวรศีล ด้วยบทว่า ภาวิตกาโย นี้ ตรัสศีล ๓ ที่เหลือด้วยบทว่า ภาวิตสีโล นี้

บทว่า อปริตฺโต คือ มีคุณมิใช่เล็กน้อย

บทว่า มหตฺตา คือ พระขีณาสพชื่อว่า มีอัตภาพใหญ่ เพราะแม้จะมีอัตภาพเล็กน้อย แต่ก็มีคุณมาก

ก็บทว่า อปฺปมาณวิหารี นี้เป็นชื่อของพระขีณาสพโดยแท้ อธิบายว่า พระขีณาสพนั้นชื่อว่า อัปปมาณวิหารี (มีปกติอยู่ด้วยคุณธรรมอันหาประมาณมิได้) เพราะไม่มีกิเลสมีราคะ เป็นต้นที่ทำให้มีประมาณ (คือจำกัดขอบเขตของคุณธรรม)

บทว่า ปริตฺเต แปลว่า เล็กน้อย

บทว่า อุทกมลฺลเก แปลว่า ในขันน้ำ

บทว่า โอรพฺภิโก แปลว่า เจ้าของแกะ

บทว่า โอรพฺภฆาตโก แปลว่า คนฆ่าแกะ

บทว่า ชาเปตุ วา ได้แก่ เพื่อทำให้เสื่อมด้วยความเสื่อมทรัพย์. ปาฐะว่า ฌาเปตุ ดังนี้ก็มี ความหมายก็อย่างเดียวกันนี้แล

บทว่า ยถาปจฺจย วา กาตุ ความว่า เพื่อทำได้ตามปรารถนา

บทว่า อุรพฺภธน ได้แก่ ราคาค่าตัวแกะ. ก็เจ้าของแกะหรือคนฆ่าแกะนั้น ถ้าปรารถนาก็จะให้ราคาแกะนั้น ถ้าไม่ปรารถนาก็จะให้จับคอลากออกไป.

บทที่เหลือ พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสวัฏฏะและวิวัฏฏะ (นิพพาน) ไว้ในสูตรนี้แล

จบอรรถกถาโลณกสูตรที่ ๙


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 26 พ.ย. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ