จะต้องให้หมดเวรหมดกรรมไปก่อนหรือ ? จึงจะรู้สภาพธรรมครับ

 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่  16 พ.ค. 2553
หมายเลข  16194
อ่าน  1,429

อวิชชา ความไม่รู้แจ้งในจิต เจตสิก รูป ซึ่งเกิดดับนั้น เป็นวิบากของกรรมใด ทำไมจึงให้ผลไม่หมดสิ้น ทำให้หลงยึดมั่น ติดข้อง ไม่เบื่อหน่ายในทุกข์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 17 พ.ค. 2553

เรียนคุณชีวิต

อวิชชาเป็นธรรมประเภทอกุศลธรรม เป็นกิเลส เป็นธรรมฝ่ายเหตุ ไม่ใช่วิบาก อวิชชาจะหมดไปได้ต้องอบรมเจริญปัญญา จนกว่าจะถึงขั้นอรหัตตมรรคจิต แต่เบื้องต้น เมื่อเริ่มฟังพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีอวิชชา ผู้ฟังก็เริ่มละอวิชชา ได้แล้ว เมื่อสะสมความเป็นพหูสูตมากยิ่งขึ้น ปัญญาก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น อวิชชาก็จะค่อยๆ ลดไปตามกำลังของปัญญาที่มากขึ้น ความยึดมั่น ความติดข้องก็ลดลงได้ เช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงไม่มีหนทางอื่นนอกจากการอบรมเจริญปัญญา เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ เท่านั้น เป็นหนทางเพื่อการเบื่อหน่ายในทุกข์ หลุดพ้นจากทุกข์ได้


 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
รวงข้าวท้องแก่
วันที่ 17 พ.ค. 2553

ขอบคุณมากครับ.

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
คุณ
วันที่ 17 พ.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ไพรสณฑ์
วันที่ 18 พ.ค. 2553

เรามาทำธุระอะไรอยู่บนโลกใบนี้ เพราะในที่สุดก็จะจากไป และไม่หวนกลับมาอีก แท้จริงความเป็นตัวเราคือ การเกิดขึ้นของความเป็นสภาพธรรมเท่านั้น การรู้มันตามจริงจึงเห็นความเป็นสภาพธรรม คือการทำงานของธาตุธรรมชาติเท่านั้น โลกและจักรวาลมีความเป็นธรรมชาติอยู่เท่านั้น ดังนั้นตัวเราก็คือ ความเป็นธรรมชาติเกิดอยู่นั่นเอง แต่เราหลงอยู่ในความเป็นธรรมชาติจึงไม่รู้ความจริงของตัวเอง

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ไพรสณฑ์
วันที่ 21 พ.ค. 2553

ชีวิตคือ ขณะจิต ถูกต้องแล้วครับ ถ้าเรามีความรู้สึกอยู่เพียงขณะจิตหนึ่งๆ เท่านั้น การก่อตัว เจริญขึ้นเติบโต เสื่อมลงและดับไปก็จะไม่เกิดเรา จึงควรมีชีวิตเพียงแค่ขณะจิตหนึ่งๆ เท่านั้น คืออยู่ในความเป็นปัจจุบันเสมอนั่นเอง ไม่ต้องค้นหาอะไรไปมากกว่านี้

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
พุทธรักษา
วันที่ 21 พ.ค. 2553

ขอนอบน้อมแด่พะรัตนตรัย
อวิชชา ความไม่รู้ เป็นปัจจัยให้เกิดกิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์ (วัฏฏ์ หรือวัฏฏะ คือ สังสารวัฏฏ์-การเวียนว่ายตายเกิด) เมื่อยังมีกิเลส (กิเลสวัฏฏ์) ก็ย่อมมีกรรม คือ การกระทำทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว (กรรมวัฏฏ์) การกระทำกรรมดี และกรรมชั่ว ให้ผลเป็นวิบากที่ดี และวิบากที่ไม่ดี (วิปากวัฏฏ์) ตราบใดที่ไม่สามารถดับ "อวิชชา" ได้ย่อมยังเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏฏ์คือ กิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์หมุนเวียนอยู่เช่นนั้นจนหาเบื้องต้น และเบื้องปลายไม่ได้ ดังที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดงไว้ ที่สำคัญคือ เริ่มเห็นโทษของสังสารวัฏฏ์ และเริ่มต้นด้วยการศึกษาพระธรรมเพื่อเข้าใจพระธรรมฟังให้เข้าใจจริงๆ ว่า ทรงตรัสรู้อะไร ทรงแสดงธรรมเพื่ออะไร และน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติตาม ตามกำลังปัญญาของตนตนจึงเป็นที่พึ่งแห่งตน ด้วยความเข้าใจพระธรรมที่ได้ศึกษา เจริญกุศลทุกประการ ละคลายอกุศลธรรมทุกประการเจริญสติปัฏฐาน-อบรมเจริญปัญญา แต่ไม่ควรลืมว่า ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน และบังคับบัญญาให้เป็นไปตามใจชอบไม่ได้เพราะธรรมทั้งหลายไม่เป็นอิสระ เพราะต้องเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ในสังสารวัฏฏ์นานแสนนานนี้ ไม่มีใครรู้ว่า ได้สะสมกรรมดี-กรรมชั่วอะไรมาบ้างการออกจากสังสารวัฏฏ์ จึงต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามเหตุสมควรแก่ผล เช่นกัน

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 22 พ.ค. 2553

โมหะไม่เกิดร่วมกับจิตชาติวิบาก แต่เกิดร่วมกับอกุศลจิตทุกประเภท อวิชชาคือ ความไม่รู้ความจริง เกิดจากการสะสมมานานในสังสารวัฏฏ์

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
kinder
วันที่ 15 มิ.ย. 2553

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Gorragrid
วันที่ 16 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ