หวังให้บ้านเมืองสงบ

 
เมตตา
วันที่  19 พ.ค. 2553
หมายเลข  16228
อ่าน  1,321

เช้านี้ตื่นขึ้นมาด้วยใจที่ขุ่นมัวเพราะ คิดถึงเหตุการณ์ที่บ้านเมืองที่ไม่สงบ...ทันทีก็คิดถึงคำพูดของท่านอาจารย์ขึ้นมาทันที... เดือดร้อนใจเพราะคิด... คิดนี่เป็นสภาพธรรมที่อนัตตาจริงๆ จะไปบังคับให้หยุดคิดก็ไม่ได้ ถึงคราวที่จะคิดพิจารณาถึงพระธรรม ก็อนัตตาอีก... เราเองได้กระทำบุญไว้ในอดีตจริงๆ นะที่ได้มาพบกัลยาณมิตรอย่างท่านอาจารย์ ทำให้ใจที่หวั่นไหวนั้นลดลงได้บ้างทุกๆ ครั้งที่คิดถึงธรรมที่ท่านบรรยาย สิ่งที่ท่านบรรยายเป็นเหตุเป็นผล เป็นสภาพธรรมเป็นความจริงของชีวิต

ชีวิตคือชั่วขณะจิตหนึ่งๆ ที่เกิดขึ้นเห็น ได้ยิน...คิดนึกสืบต่อไปในสังสารวัฏฏ์ มีเราอยู่ที่ตรงไหน ท่านจึงเตือนพวกเราเสมอว่า อย่าขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น เพื่อค่อยๆ ละความไม่รู้ที่มีอยู่อย่างมากมาย ให้เห็นถึงภัยใหญ่ คือความไม่รู้ ความหวังให้บ้านเมืองสงบ ความหวังก็เป็นอกุศลจิต ต้องเป็นผู้ตรงต่อสภาพธรรม บ้านเมืองจะสงบหรือไม่สงบไม่ได้อยู่ที่เราหวัง แต่อยู่ที่เหตุปัจจัยทั้งนั้น การเป็นคนดีทุกขณะ และฟังธรรมให้เข้าใจ จึงเป็นการช่วยตัวเองให้พ้นจากการกระทำกรรมชั่วและยังได้ชื่อว่ารักชาติบ้านเมืองอีกด้วย

บ้านเมืองจะสงบได้เพราะทุกคนเป็นคนดี ดีอย่างเดียวยังไม่พอต้องมีความรู้ความเข้าใจธรรมะด้วย...

ขออนุโมทนาค่ะ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ups
วันที่ 19 พ.ค. 2553

สาธุ

ถึงบอกพี่ว่ายากครับ คิดจนกว่าไม่มีจะคิด

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 19 พ.ค. 2553

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ผิน
วันที่ 19 พ.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 19 พ.ค. 2553

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ทุกอย่างเป็นธรรมและเป็นอนัตตา คิดมีจริง เรื่องที่คิดไม่จริง การอบรมปัญญาจึงรู้สิ่งที่เกิดแล้วมีแล้วว่าเป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น ผู้มีปัญญาจึงใช้เวลาที่เหลืออยู่ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ นั่นคือการอบรมปัญญาเพื่อเข้าใจพระธรรม เหตุการณ์ปัจจุบันที่หลงไปในเรื่องราวในขณะนี้จึงเป็นเครื่องวัดกำลังของปัญญาได้เป็นอย่างดี และเมื่อพิจารณาด้วยปัญญาในความเห็นถูกแล้ว จึงกลับมาสู่ความสนใจพระธรรม การเข้าใจพระธรรมอีกครั้ง

ความสงบจึงไม่ได้อยู่ที่เหตุการณ์บ้านเมือง เรื่องราวที่เป็นบัญญํติสงบไม่ได้ แต่สิ่งที่สงบคือสภาพธรรมที่มีจริงที่เป็นนามธรรมนั่นคือกุศลธรรมและสภาพธรรมฝ่ายดีนั่นเองที่สงบ สงบจากอกุศล สงบจากกิเลส ไม่สงบเพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรม จะสงบได้ก็อยู่ที่ใจของแต่ละคนขณะนี้ พระธรรมจึงเป็นเครื่องเตือนว่าเรื่องราวหรือบัญญัติ ไม่มีสภาพที่สงบหรือไม่สงบแต่จิตฝ่ายดีที่เกิดกับใจของตนเองที่สงบและจิตฝ่ายไม่ดีของตนเองที่เกิดขึ้นนั่นแหละที่ไม่สงบ กลับมาสู่ความเข้าใจพระธรรมอีกครั้ง แม้จะล้มแล้วก็ลุกขึ้นใหม่ได้ครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 20 พ.ค. 2553

ถ้าทุกคนรักษาศีล 5 มีคุณธรรม บ้านเมืองก็จะไม่วุ่นวาย ไม่เดือดร้อนค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
orawan.c
วันที่ 20 พ.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 20 พ.ค. 2553

ความสงบจึงไม่ได้อยู่ที่เหตุการณ์บ้านเมือง

เรื่องราวที่เป็นบัญญํติสงบไม่ได้

แต่สิ่งที่สงบคือสภาพธรรมที่มีจริงที่เป็นนามธรรม

นั่นคือกุศลธรรมและสภาพธรรมฝ่ายดีนั่นเองที่สงบ

ขออนุโมทนา อ.เผดิมและทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
คุณ
วันที่ 20 พ.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
petcharath
วันที่ 20 พ.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
tanakase
วันที่ 20 พ.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
sirijata
วันที่ 20 พ.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

เหตุการณ์บ้านเมืองช่วงนี้ เหมือนข้อสอบไล่ ดิฉันประเมินตนเองแล้ว รู้ว่า สอบตกอีกแล้วค่ะ รู้ตัวเลยว่าตนเองยึดอุปาทานขันธ์๕ ไว้เหนียวแน่นกว่าที่คิดไว้มากเหลือเกิน รู้ว่าเอาออกยากเหลือเกิน แม้แบก (ขันธ์๕) ไว้หนักขนาดนี้ ก็ชินชาไม่มีแรงคิดจะสลัดคืนเลย

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Komsan
วันที่ 21 พ.ค. 2553

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
raynu.p
วันที่ 21 พ.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
jaran
วันที่ 21 พ.ค. 2553

ตัวผมเองก็เหมือนกับความเห็นที่ 11 ครับ แต่ก็พยามยามสลัดทิ้งต่อไป

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
choonj
วันที่ 21 พ.ค. 2553

บ้านเมื่องไม่สงบเพราะมีผู้ทะเลาะกันแล้วก็ต่อสู้กัน ก็ต้องมีสองฝ่ายต่างคนต่างมีเห็นผลของตังเอง ที่น่าประหลาดใจคือไม่สามารถฟังเหตุผลของกันและกันได้ เพราะต่างคนต่างไม่ยอมแพ้ สังคมจึงถูกกระทบไปด้วย เหตุผลของทั้งสองฝ่ายต้องมีฝ่ายหนึ่งดีกว่าอีกฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน แต่สำหรับผู้ศึกษาธรรมแล้ว ไม่ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีเหตุผลอย่างไร ก็ ไม่สามารถเสมอเหมื่อน เหตุผลของพระตถาคต พระพุทธ พระธรรม พระสงค์ จึงไม่ควรปล่อยให้จิตเป็นอกุศล แต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ มือที่มองไม่เห็นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
พุทธรักษา
วันที่ 21 พ.ค. 2553

ความเมตตา เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้บ้านเมืองสงบแต่ความเมตตา ก็ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เมื่อมีเหตุปัจจัยที่ทำให้คนในสังคมขาดเมตตา (ขาดสติ) ความสงบของบ้านเมืองจะมีได้อย่างไร.?เข้าใจว่า...ที่ไหนๆ ก็ไม่ต่างกัน.!.

ขออนุโมทนาค่ะ.

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
h_peijen
วันที่ 22 พ.ค. 2553

เหตุการณ์ปัจจุบันที่หลงไปในเรื่องราวในขณะนี้จึงเป็นเครื่องวัดกำลังของปัญญาได้ เป็นอย่างดี และเมื่อพิจารณาด้วยปัญญาในความเห็นถูกแล้ว จึงกลับมาสู่ความสนใจพระธรรม การเข้าใจพระธรรมอีกครั้ง

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
วิริยะ
วันที่ 23 พ.ค. 2553

เป็นเช่นเดียวกับความคิดเห็นที่ 11 ค่ะ จะพยายามกลับมาศึกษาพระธรรมอีก เพราะ
ไม่อยากเป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
Angie
วันที่ 24 พ.ค. 2553

เพิ่งรู้ว่าตัวเองสอบตกเหมือนกันค่ะ

หลังๆ กลายเป็นคนเคร่งเครียด และเป็นคนขี้โมโหมากขึ้น รู้สึกไม่ดีต่อตัวเองเลย จนวันนี้มองเห็นว่าโลกนี้และการเกิดมีแต่ความทุกข์จริงๆ ดั่งที่พระพุทธองค์ได้เคยตรัสไว้ มีแต่เราเอาจิตไปยึดติดไว้เอง เราจึงเป็นทุกข์เช่นนี้

ท่านค้นพบทางหลุดพ้นนานมากแล้ว แต่เรายังไม่ถึงไหนเลย บททดสอบของจิตเล็กๆ แค่นี้ก็ยังควบคุมไม่ได้ แล้ววันข้างหน้ามีอะไรที่จะเข้ามากอีกมากมายและยากกว่านี้ เราจะฝึกจิตใจให้เข้มแข็งผ่านไปได้เช่นไร

สิ่งที่เราจะช่วยกันทำได้เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วนั่นคือ การรักษาศีล อย่างน้อยก็ ศีล 5 และหมั่นเจริญ พรหมวิหาร 4 ถึงแม้ว่าโลกจะเริ่มเดินเข้าสู่ความเสื่อมของศาสนาเข้าไปเรื่อยๆ ก็ตาม

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
paderm
วันที่ 24 พ.ค. 2553

ขออนุโมทนากับผู้ที่เห็นโทษของอกุศลและกลับมาสู่การสนใจพระธรรมอีกครั้ง

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
Sam
วันที่ 24 พ.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
amara
วันที่ 24 พ.ค. 2553

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ส.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ