ได้ยินแล้วคิด_23
ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระผุ้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เคยได้ยิน ท่าน อ. สุจินต์ แสดง"อยู่เพื่อปัญญาปรากฏ""อยู่ด้วยปัญญาที่ปรากฏ"ได้ยินแล้วคิด...อย่างไรขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ
"อยู่เพื่อปัญญาปรากฏ"
เคยได้ยินท่านอาจารย์แสดงไว้..... ทำให้ทุกครั้งที่ระลึกถึงจะไม่เพลิดเพลินไปกับ
อกุศลในชีวิตประจำวันจนเกินไปเพราะความไม่รู้...ในชีวิตประจำวันเราจะอยู่เพื่ออะไร
อยู่เพื่อเห็น..ได้ยิน..
ได้กลิ่น..สนุกสนานเพลิดเพลิน..สุขบ้าง..ทุกข์บ้าง..โกรธบ้าง....แล้วก็หมดไปในแต่ละวันโดยไม่มีความรู้ความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง มีชีวิต
อยู่กับความไม่รู้ความจริงในแต่ละชาติโดยสะสมความไม่รู้ไปในสังสารวัฏฏ์ หรือจะอยู่เพื่อความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่มีอยู่จริงที่กำลังปรากฏ...มีชีวิตอยู่เพื่อปัญญาปรากฏ
และ เมื่อมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏแล้ว ก็จะค่อยๆ อยู่ด้วย
ปัญญาที่ปรากฏ.....
ไม่ทราบว่าจะถูกต้องหรือเปล่า ขอเชิญท่านอื่นแสดงความคิดเห็นด้วยค่ะ
...ขออนุโมทนาพี่แก้วตาค่ะ...
มีชีวิตอยู่เพื่อยังปัญญาที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ด้วยการฟังธรรมให้เข้าใจค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
คิดว่ากำลังอบรมเจริญปัญญาอยู่
ด้วยการฟังพระสัทธรรมบ่อยๆ เนืองๆ จากกัลยาณมิตร
และเป็นจิรกาลภาวนาจริงๆ
ขอกราบอนุโมทนาท่าน อ.สุจินต์ ค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
" คิด " ว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นโอกาสให้ได้อบรมเจริญปัญญา
และเจริญกุศลทุกประการ
อันเป็นการสั่งสมสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในสังสารวัฏฏ์
เมื่อปัญญาปรากฏขณะใด ขณะนั้นก็มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
อันเป็นการมีชีวิตอยู่อย่างประเสริฐ ดังข้อความในพระสูตรที่ยกมาครับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒- หน้าที่ 416
๙. ก็ผู้ใดทุศีล มีใจไม่ตั้งมั่น พึงเป็นอยู่
๑๐๐ ปี ความเป็นอยู่วันเดียวของผู้มีศีล มีฌาน
ประเสริฐกว่า (ความเป็นอยู่ของผู้นั้น) .
๑๐. ก็ผู้ใดมีปัญญาทราม มีใจตั้งมั่น พึงเป็น
อยู่ ๑๐๐ ปี ความเป็นอยู่วันเดียวของผู้มีปัญญา มี
ฌาน ประเสริฐกว่า (ความเป็นอยู่ของผู้นั้น) .
ได้ยินแล้วคิด ได้กลิ่นแล้วคิด ลิ้มรสแล้วก็คิด แต่คิดเป็นกุศลหรืออกุศล ก็ขึ้นอยู่กับโยนิโส หรืออโยนิโส แล้วแต่การสะสมของแต่ละบุคคล
ขออนุโมทนา
การได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นของยาก แต่ทุกคนที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็ได้ในสิ่งที่ได้ยากแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็จะประมาทไม่ได้เลยทีเดียว เนื่องจากว่ากาลข้างหน้าไม่ว่าจะช้าหรือเร็วซึ่งไม่มีใครสามารถจะทราบได้ ตนเองก็จะต้องละสภาพจากความเป็นบุคคลนี้ไป (ก็คือ ตาย นั่นเอง) มนุษย์ เมื่อสิ้นชีวิตไปแล้ว สามารถไปเกิดในอบายภูมิได้ทั้ง๔ (ภูมิใดภูมิหนึ่ง) คือ เกิดเป็นสัตว์นรกก็ได้ เกิดเป็นเปรตก็ได้ เกิดเป็นอสุรกายก็ได้ เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานก็ได้ ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม จึงประมาท-ไม่ได้เลยจริงๆ เพราะเหตุว่า ถ้ายังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ก็ยังจะเกิดในอบายภูมิได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เมื่อเป็นผลของอกุศลกรรม และถ้าไปเกิดในอบายภูมิแล้วย่อมจะขาดการเจริญกุศลอย่างที่มนุษย์จะกระทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การอบรมเจริญปัญญา เพราะฉะนั้น เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่ควรที่จะประมาทในชีวิต ควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาสะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปตามลำดับ ค่อยๆ ออกจากความมืดมิดด้วยอำนาจของอวิชชาไปทีละเล็กทีละน้อย เมื่อมีปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกเพิ่มขึ้น ชีวิตที่ดำเนินไปในแต่ละวัน ก็จะเป็นไปในทางที่ดีงามยิ่งขึ้น ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ เป็นผู้ดำเนินชีวิตไปด้วยปัญญา (อยู่ด้วยปัญญา) จนกว่าจะมีปัญญาคมกล้าสามารถดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ไม่มีการเกิดอีกเลยไม่ว่าจะเป็นภพภูมิใดๆ ทั้งสิ้น ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขณะที่ยังตาบอด ยังไม่รู้ว่าเป็นธรรม ก็อยู่เพื่อปัญญาปรากฏ คือ ศึกษาพระธรรมของพระผู้มีพระภาคต่อไปเพื่อสะสมความเข้าใจ ขณะที่ฟังแล้วเข้าใจพระธรรม ขณะนั้นอยู่ด้วยปัญญาที่ปรากฏ แทนที่การอยู่ด้วยอกุศลที่เกิดมากเป็นปกติ จนกว่าจะถึงการอยู่ด้วยปัญญาที่เข้าใจตัวจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้