ได้ยินแล้วคิด_24

 
Khaeota
วันที่  29 พ.ค. 2553
หมายเลข  16351
อ่าน  1,314


ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระผุ้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เคยได้ยิน ท่าน อ. สุจินต์ แสดง"การไม่ปลูกน้ำตา"ได้ยินแล้วคิด อย่างไร

ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาทุกๆ ท่านค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 3  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 1 มิ.ย. 2553

เท่าทีค้นขัอมูลได้ ปลูกน้ำตา หมายถึงการสร้างความทุกข์ อาจมีทั้งสร้างความทุกข์ให้

ตนเองและผู้อื่น...การไม่ปลูกน้ำตา หมายถึงการไม่สร้างความทุกข์...กุศลจิตไม่สร้าง

ความทุกข์ให้กับตนเอง.. แต่เป็นไปได้ไหมที่กุศลจิตจะสร้างความทุกข์ให้ผู้อื่น และในทางธรรมไม่ให้พิจารณาผู้อื่นแต่ให้พิจารณาตนเอง....?ดังนั้นผู้ใดปลูกและผู้ใดถูก

ปลูก....ผู้ใดไม่ปลูกและผู้ใดไม่ถูกปลูก..."การไม่ปลูกน้ำตา"ได้ยินแล้วคิด อย่างไร

จึงเป็นคำถามที่น่าสนใจ....ขออนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 1 มิ.ย. 2553

" การไม่ปลูกน้ำตา " น่าเสียดายมากเลยที่พลาดโอกาสได้ฟังท่านอาจารย์บรรยายค่ะ ขอความกรุณาท่านที่ได้ยินแล้วคิดอย่างไรช่วยอธิบายด้วยค่ะ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Khaeota
วันที่ 1 มิ.ย. 2553


ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระผุ้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้า ท่าน อ. สุจินต์ ที่เคารพ กราบขออนุญาตนำข้อความบางตอน จาก เทปวิทยุแผ่นที่ 27 56/60 [1616] ที่ ท่าน อ. ได้นำมาแสดง

ท่าน อ. ขันติเป็นไฉนคือ สภาพที่อดทน สภาพที่อดกลั้น สภาพที่ไม่ดุร้าย สภาพที่ไม่ปลูกน้ำตา สภาพที่จิตเบิกบานอันใด นี้เรากล่าวว่าขันติ เพราะว่าขันติต้องเป็นโสภณเจตสิก เป็นอโทสเจตสิก... สภาพที่จิตเบิกบาน...
ความอดกลั้น ชื่อว่าความอดทน คือสภาพที่ยกกรรมชั่วและคำพูดชั่ว ของคนเหล่าอื่นไว้เหนือตน โดยไม่ทำการโกรธตอบ... ความไม่โกรธ ชื่อว่าความเป็นผู้ไม่ดุร้าย การไม่ให้น้ำตาเกิด ในนัยน์ตาทั้ง 2 ของชนเหล่าอื่น ด้วยอำนาจ เกรี้ยวกราด ชื่อว่า การไม่ปลูกน้ำตา ภาวะที่ใจไม่พยาบาท ชื่อว่าความเป็นผู้มีใจเบิกบาน...
ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pannipa.v
วันที่ 1 มิ.ย. 2553

บุคคลผู้เป็นอยู่ด้วยธรรม ถึงพร้อมด้วยความเพียร บริบูรณ์ด้วยสติมีการงานบริสุทธิ์ทางทวารทั้งหลาย เลี้ยงชีพโดยธรรม มีปกติใคร่ครวญด้วยปัญญาแล้วจึงทำ ตั้งอยู่ในอันไม่เหินห่างสติ คือ การเป็นผู้ไม่ปลูกน้ำตา

(แต่...ยากจริงๆ ค่ะ)

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
paderm
วันที่ 1 มิ.ย. 2553

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

มังคลัตถทีปนีแปล เล่ม ๔ - หน้าที่ 185

แม้ในอรรถกถาสังคีติสูตร ท่านก็กล่าวไว้ว่า " ความอดทนคือความอดกลั้น ที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้อย่างนี้ว่า 'ในมาติกาที่ยกขึ้นตั้งไว้ว่า ขันตินั้น ขันติเป็นไฉน? คือ ความอดทน ความเป็นคือความอดทน ความเป็นคือความอดกลั้น ความเป็นผู้ไม่ดุร้าย การไม่ปลูกน้ำตา ความที่จิตเบิกบานอันใด, นี้ เรากล่าวว่า ขันติ."

มังคลัตถทีปนีแปล เล่ม ๔ - หน้าที่ 185

ฎีกาสังคีติสูตรนั้นว่า " ความอดกลั้น ชื่อว่า ความอดทนคือความเป็นคืออันยกกรรมชั่ว และคำพูดชั่วของชนเหล่าอื่นไว้เหนือตน อดทนโดยไม่ทำการโกรธตอบ. ความไม่โกรธ ชื่อว่า ความเป็นผู้ไม่ดุร้าย. การไม่ให้น้ำตาเกิดในนัยน์ตาทั้ง ๒ ของชนเหล่าอื่น ด้วยอำนาจความเกรี้ยวกราด ชื่อว่า การไม่ปลูกน้ำตา.

โดยทั่วไปแล้ว น้ำตาย่อมเกิดเพราะความเสียใจ อันเนื่องมาจากพลัดพรากจากสิ่งที่รักหรือกระทบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก เป็นต้น เมื่อต้องกระทบสิ่งที่ไม่เป็นที่รักคือคำพูดที่ไม่ดีหรือการกระทำทางกายที่ไม่ดีของบุคคลอื่น ย่อมทำให้เกิดความเสียใจ ร้องไห้ได้เพราะการกระทำของบุคคลที่ทำด้วยความดุร้าย ด้วยโทสะ ด้วยอกุศลจิต ผู้ที่แสดง ออกทางกาย วาจาด้วยโทสะ ด้วยความโกรธย่อมทำให้น้ำตาของบุคคลอื่นเกิดขึ้น บุคคลที่แสดงออกด้วยกาย วาจาที่เป็นโทสะ จึงชื่อว่าเป็นผู้ปลูกน้ำตา คือทำให้บุคคลอื่นร้องไห้ เสียใจมีน้ำตาไหล

การไม่ปลูกน้ำตา คือการไม่ทำให้บุคคลอื่นร้องไห้ เสียใจ มีน้ำตาไหลด้วยความไม่

โกรธ ด้วยความอดทน มีขันติ ไม่แสดงกาย วาจาที่เกิดจากโทสะ ผู้ที่ประพฤติด้วยกุศล

ธรรม มีความไม่โกรธย่อมชื่อว่าเป็นผู้ไม่ปลูกน้ำตา คือไม่ทำให้คนอื่นร้องไห้ด้วยกุศล

ธรรมคือความไม่โกรธ การไม่ปลูกน้ำตาจึงเป็นกุศลธรรมที่เป็นขันตินั่นเอง ขออนุโมทนาครับ อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เมตตา
วันที่ 1 มิ.ย. 2553

การให้ได้เข้าใจธรรมะ เหนือกว่าการให้ทั้งปวง

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์

พี่ Khaeota พี่pannipa.v และ

ขออนุโมทนาน้องเต้ยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
khampan.a
วันที่ 1 มิ.ย. 2553
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรมดาของบุคคลผู้ที่ยังมีกิเลส กุศลจิตย่อมเกิดขึ้นมากกว่ากุศล ทั้งจิตที่ประกอบด้วยโลภะ จิตที่ประกอบด้วยโทสะ และ จิตที่ประกอบด้วยโมหะ เกิดขึ้นมากมายอย่างนับไม่ถ้วน มีตั้งแต่ระดับที่บางเบา จนกระทั่งมีกำลังกล้าถึงขั้นล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่การกระทำและคำพูด ซึ่งเป็นไปด้วยอำนาจของกุศล อาจจะเป็นเหตุให้บุคคลอื่นเสียใจ ร้องไห้ ได้ แต่การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ย่อมเป็นสิ่งที่ดี มีคุณค่าต่อชีวิตเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสที่มีเป็นอย่างมากให้เบาบางลงได้ เพราะเมื่อมีความรู้ ความเข้าใจค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ ก็ย่อมเป็นเหตุให้กุศลธรรมประการต่างๆ เจริญขึ้นตามระดับของความเข้าใจความประพฤติทั้งทางกาย ทางวาจาและทางใจ ก็จะดีขึ้นด้วยเหมือนกัน มีความอดทนต่อเหตุการณ์ต่างๆ มากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเข้าใจและเห็นใจบุคคลอื่นมากยิ่งขึ้น เพราะ-ฉะนั้นแล้วในชีวิตประจำวัน จะขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมไม่ได้เลย ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 2 มิ.ย. 2553

ขอขอบคุณและอนุโมทนาคะ

ที่ให้ความเข้าใจความหมายที่ถูกต้องของคำว่า การไม่ปลูกน้ำตา เชิญคลิกอ่าน...ความอดทน [มังคลัตถทีปนีแปล]

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 3 มิ.ย. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Komsan
วันที่ 3 มิ.ย. 2553

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เมตตา
วันที่ 3 มิ.ย. 2553

ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่การกระทำและคำพูด ซึ่งเป็นไปด้วยอำนาจของกุศล อาจจะเป็นเหตุให้บุคคลอื่นเสียใจ ร้องไห้ ได้

(ด้วยอำนาจของกุศล เป็นเหตุให้บุคคลอื่นเสียใจร้องไห้ ก็คือการปลูกน้ำตา

เพราะฉะนั้น ความอดทน อดกลั้น ไม่ให้เป็นไปกับอำนาจของกุศล ก็คือการไม่ปลูกน้ำตา)

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ.

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ