สำหรับพรุ่งนี้ก็มืดสนิท
ชีวิตของแต่ละท่านก็ผ่านมาตั้งแต่เด็กจนถึงขณะนี้ก่อนจะถึงวัยนี้ ก็ไม่รู้ว่าถึงวัยนี้ในลักษณะใดสำหรับพรุ่งนี้ก็มืดสนิท ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดบ้างแน่นอน
ถ้าศึกษาพระธรรมก็จะเริ่มเข้าใจทุกอย่างตรงตามความเป็นจริงรู้เหตุของความทุกข์ สุข จนกระทั่งสามารถที่จะดับเหตุของความทุกข์ สุขนั้น ได้ตามพระธรรมนี่คือ..ประโยชน์ของการฟังพระธรรม แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น
"...ถ้าศึกษาพระธรรมก็จะเริ่มเข้าใจทุกอย่างตรง ตามความเป็นจริงรู้เหตุของความทุกข์ สุข จนกระทั่งสามารถที่จะดับเหตุของความทุกข์ สุขนั้น ได้ตามพระธรรมนี่ คือ..ประโยชน์ของการฟังพระธรรม แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น..."
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓-หน้าที่ 146
" เมื่อโลกสันนิวาส อันไฟลุกโพลงอยู่เป็นนิตย์,
พวกเธอยังจะร่าเริง บันเทิงอะไรกันหนอ ? เธอ
ทั้งหลายย่อมถูกความมืดปกคลุมแล้ว ทำไมจึงไม่แสวง หาประทีปเล่า? "
ความยินดี ชื่อว่า อานนฺโท ในพระคาถานั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสเป็นคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า " เมื่อโลกสันนิวาสนี้ อันไฟ ๑๑ อย่าง มี
ราคะเป็นต้นลุกโพลงแล้วเป็นนิตย์. เธอทั้งหลายจะมัวร่าเริงหรือเพลิด-
เพลินอะไรกันหนอ? นั่นไม่สมควรทำเลย มิใช่หรือ? ก็เธอทั้งหลาย
อันความมืดคืออวิชชาซึ่งมีวัตถุ ๘ ปกคลุมไว้ เหตุไรจึงไม่แสวงหา คือ
ไม่ทำประทีปคือญาณ (ปัญญา) เพื่อประโยชน์แก่การกำจัดความมืดนั้นเสีย?
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
อวิชชาคือความมืดสนิท การฟังธรรมแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นก็เปรียบเสมือนค่อยๆ มีแสงไฟส่องในที่มืด จนกว่าวิชชาคือปัญญาเกิดสามารถไล่ความมืดสนิทคืออวิชชาให้หมด
สิ้นไปได้... ก็ด้วยการอบรมความเห็นถูกเข้าใจถูกในธรรม ข้อความบางตอนจาก
อรรถกถา สัทธัมมปัชโชติกา ซึ่งเป็นอรรถกาขุททกนิกาย จูฬนิทเทส อวิชชา คือ ความหลงใหญ่นี้ เป็นความเที่ยงอยู่สิ้นกาลนาน สัตว์ทั้งหลายผู้ไปด้วย
วิชชาเท่านั้น ย่อมไม่ไปสู่ภพใหม่ ฯ
...ขออนุโมทนาค่ะ.
ที่สำคัญที่สุด ต้องเริ่มจากการฟัง การศึกษาพระธรรม เป็นปกติในชีวิตประจำวันก้าวต่อไปอย่างไม่ประมาท โดยที่ไม่ขาดการฟังพระธรรม นั่นเอง ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...