กลัวตาย
ระหว่างที่มูลนิธิฯ ปิดซ่อม และเกิดเหตุการณ์ไม่สงบในบ้านเมือง ทำให้ไม่มีการสนทนาธรรมที่มูลนิธินานหลายเดือน ตัวเองก็ป่วยเรื้อรัง รักษาไม่หายสักที หมอให้ไปตรวจอย่างละเอียด เนื่องจากเคยเป็นมะเร็งมาก่อน กลัวจะกระจายไปที่อื่น ก่อนหน้านี้เคยคิดว่า ตัวเองไม่กลัว “มะเร็ง” แล้ว เพราะรู้ว่าเป็นเพียงชื่อ เหมือนโรคอื่นๆ และตอนนี้ก็ไม่มีอาการเจ็บปวดให้เกิดความทุกข์อะไร เพียงแต่รู้สึกผิดปกติเล็กน้อย แต่พอมีเหตุว่า มะเร็งอาจจะกลับมา ก็วิตกกังวล กลัวตายขึ้นมาอีก เพิ่งรู้ว่า การเข้าใจขั้นการฟังนั้น เป็นเพียงสัญญา ไม่ใช่ปัญญาที่รู้จริงๆ อย่างที่ฟัง ที่ศึกษามาว่า ขณะที่จุติจิตเกิดนั้นเร็วยิ่งกว่ากระพริบตา เมื่อจุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตเกิดนั้นก็เป็นบุคคลใหม่ทันที เหมือนมาเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ ก็ลืมเหตุการณ์ชีวิตในชาติก่อนทั้งหมด จึงไม่น่าจะกลัวอะไร
วันนี้ (เสาร์ที่ ๕ มิ.ย. ๕๓) ได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ ฯ ระหว่างรับประทานอาหารกลางวันที่มูลนิธิ มีผู้ถามเรื่อง กลัวตาย ท่านอาจารย์ย้อนถามว่า “ถ้าบอกว่าเมื่อกี้ตายแล้วละคะ รู้สึกอย่างไร” ทุกคนตอบได้หมดว่า ไม่รู้สึกอะไร ไม่รู้ด้วยว่าขณะเมื่อกี้ตายแล้ว คือดับไปแล้ว ไม่กลับมาเกิดซ้ำอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ นั่นคือ ขณิกมรณะ ความตายทุกๆ ขณะ เหมือนกับขณะที่จะตายจากโลกนี้ที่เรียกว่า สมมติมรณะตายจากบุคคลนี้ไปเป็นบุคคลใหม่
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ท่านนำปัญญาของท่านมาช่วยชี้แนะลูกศิษย์ผู้เบาปัญญาให้คลายความสงสัยในทุกสถานการณ์ ปฏิภาณไวพริบในการแก้ปัญหาของท่านนั้นเหมือนสะกิดของที่ติดอยู่ให้หลุดออกไป เมื่อฟังแล้วก็หายสงสัยในเรื่องนั้นทันที แต่ก็เป็นเพียงสัญญา ความจำ เพราะยังไม่ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมแต่ละขณะ
ดังนั้นเมื่อนึกถึงความตายก็ยังกลัวอยู่ และยังไม่อยากตายเพราะติดข้องกับบุคคลสถานที่และเรื่องราวต่างๆ ในชาตินี้อยู่ เมื่อใดที่ปัญญาเจริญจนดับความติดข้องทั้งหลายหมด เมื่อนั้นจึงไม่กลัวตาย
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่แดงด้วยครับ
ฟังเรื่อง "กลัวตาย" แล้วให้นึกถึงที่ตนเองได้พร่ำบอกลูกและภรรยาว่า "ไม่กลัวตาย" ตายเมื่อใด ไม่ต้องทำอะไรๆ ให้ยุ่งยาก ยัดใส่เตาเผาได้เลย แล้วก็ไม่ต้องไปเที่ยวรบกวนใครๆ ให้มาเผา สัปเหร่อแกเผาได้โดยง่าย เพียงกดสวิท์ไฟคลิ๊กเดียว ก็หายวับ เหลือเพียงขี้เถ้า เสร็จแล้วก็เอาไปลอยนำ้ที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องเก็บไว้ให้เป็นภาระใดๆ หลังจากที่กลับมาจากศรีลังกา รู้สึกว่าท้องอืด เหมือนมีลมจุกในท้องทั้งวัน รอดูอาการตัวเองนานร่วมเดือน ว่าจะหายเองหรือไม่ ก็ปรากฏว่าไม่หายสักทีในใจก็คิดว่า มะเร็งตับ มะเร็งกระเพาะ มะเร็งลำใส้ หรือไม่ก็ มะเร็งหลอดอาหารอาจมาเยือน นึกถึงคำที่ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ กับคุณ บุษบงรำไพว่า มะเร็ง ก็เป็นเพียงชื่อ นึกถึงหลายๆ ท่านพูดถึงเรื่อง ความตาย แล้วให้รู้สึกไม่กลัวตาย เป็นความรู้สึกที่ดูอาจหาญ ร่าเริง บางครั้งคุณมานะมากระซิบว่า "โก้ ทีเดียวนะ ที่คิดแบบนี้" เมื่อมีเหตุให้คิดถึงความตาย ก็ทำให้ได้คิดพิจารณาว่า หากรู้ล่วงหน้าว่าต้องตายจริงๆ จะรู้สึกอย่างไร จะทำอะไรให้ดีที่สุดก่อนตาย หากต้องเจ็บหนักก่อนตาย จะพิจารณาอย่างไร นี่ ก็เพิ่งไปพบแพทย์ และรับยามาทานตามกำหนดอีกสามอาทิตย์คุณหมอนัดให้ไปพบอีกครั้ง
คราวนี้ คงได้รู้กันว่า หากทานยาแล้วไม่หาย คงต้องคิดเรื่องตาย กันอีกทีแล้วจะได้รู้ "ใจ" ตนเองจริงๆ ว่า หากรู้แน่นอนว่าใกล้ตาย แล้วจะอาจหาญ ร่าเริง จริงๆ ตรงกับที่เคยพูด และ คิดไว้หรือไม่ อยากรู้จริงๆ ครับ อยากรู้ว่า จะแน่ สักแค่ไหน...
ก่อนที่ได้มาฟังธรรม...เป็นคนกลัวตาย เมื่อได้มาฟังธรรม...รู้สึกว่าเริ่มไม่กลัวตาย เพราะคิด...ว่าทุกๆ คนหนีความตายไม่พ้น เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ฟังธรรมและพิจารณาธรรมบ่อยๆ (เสาร์ที่ ๕ มิ.ย. ๕๓) ได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ ฯ ระหว่างรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับพี่แดง คุณลุงนิพัทธ์ และอีกหลายท่านระหว่างสนทนาธรรม...คุณลุงนิพัทธหันมาถามว่า กลัวตายไหม... ก็ตอบท่านตามจริงขณะนั้นว่า กลัว (จิตนี่ช่างวิจิตรจริงๆ ) เคยกลัวแล้วไม่กลัว แล้วกลับมากลัว...ธรรมะเป็นอนัตตาจริงๆ
แต่เมื่อได้ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจถึงความจริงของสภาพธรรมจริงๆ ก็จะหวั่นไหวน้อยลง นี่สำหรับตัวเองน่ะค่ะ ขอยกคำสนทนาที่ท่านอาจารย์กล่าวไว้ กับพี่บงเรื่องตาย ท่านอาจารย์กล่าวว่า ถึงเวลาจริงๆ อาจจะสบ๊าย...สบาย ก็ได้ ทุกคนน่ะ ไม่มีใครรู้เลยคุณบงคะ คือ กรรมนี่วิจิตรเสียจนกระทั่งอย่าได้ไปคิดไปฝันอะไรเลย คิดทั้งหมดน่ะ เพียงคิดเท่านั้น เวลาที่เกิดขึ้นจริงๆ อาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดไว้ก็ได้
...กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ค่ะ...
แล้วจะได้รู้ "ใจ" ตนเองจริงๆ ว่า หากรู้แน่นอนว่าใกล้ตาย แล้วจะอาจหาญ ร่าเริง จริงๆ ตรงกับที่เคยพูด และ คิดไว้หรือไม่ อยากรู้จริงๆ ครับ อยากรู้ว่า จะแน่ สักแค่ไหน...ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาจริงๆ น่ะ ไม่สามารถบังคับบัญชาได้เลย...กรรมวิจิตร...ผลก็วิจิตรตามกรรมที่วิจิตร
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะคุณวันชัยค่ะ
หวั่นไหวและกลัวบางขณะเหมือนกันค่ะ แต่จำคำพูดท่านอาจารย์ช่วยเตือนใจเสมอ ท่านพูดว่า "ที่อยู่ ที่อาศัยคือที่พักชั่วคราวในโลกนี้เท่านั้น ไม่ควรกังวลจนเกินไปแล้วก็จะจากไป" คิดต่อค่ะ...ภพใหนๆ ก็ชั่วคราว....ตายๆ เกิดๆ ไปเรื่อยๆ ....ไม่รู้จะนานเท่าไร จนกว่าจะรู้แจ้งธรรมไม่เกิดอีก....ดังนั้นต้องไม่ทิ้งการฟังพระธรรม.... คิดได้อย่างนี้ก็เบาใจได้บ้างค่ะ
สิ่งที่หลายท่านกังวล ลุ้นว่า จะใช่...จะเป็น...โรคนั้น โรคนี้ หรือเปล่า..บางทีกังวลจนเหนื่อย ผลออกมาไม่เป็นอะไรอย่างที่คิด (เพราะเคยกังวลมาก่อน) ถ้าจะเป็นโรคนั้น...เป็นแล้วค่ะ...เพราะก่อตัวมานานแล้ว เพียงแต่ไม่มีอาการผิดปกติให้รู้สึกได้เท่านั้น ถ้า....เป็นแล้ว....ทำไงได้.....ผลของกรรมมี ว่าแต่....ชีวิตจะดำเนินอย่างไรต่อไป เป็นกำลังใจให้ทุกท่าน รวมทั้งตัวเองด้วย อาจหาญ ร่าเริง อาจารย์แดงคะ จำก็จำค่ะ จำไปเรื่อยๆ จนกว่าความจำจะมั่นคงไงคะ กราบอนุโมทนาค่ะ
คนเราเกิดมาแล้วต้องตาย ตายแน่ๆ กลัวก็ตายไม่กลัวก็ต้องตาย หนีไม่พ้น เมื่อหนีไม่พ้นจะไปกลัวทำไม เมื่อใดก็เมื่อนั้น ที่นี้ลองถามตัวเองจริงๆ ว่าอยากอยู่มั้ย อยู่แล้วไม่กลัวจะสร้างอกุศลกรรมต่อไปหรือ เพราะสุตจริต ๓ รักษายากนะ พระสูตรที่กล่าวว่า "การได้ความเป็นมนุษย์ ย่อมเป็นผู้มีกิจ (หน้าที่) ๒ อย่าง คือ กิจที่ควร และกิจที่ไม่ควรทีเดียว" กิจที่ไม่ควรคือการตามกระแส กิจที่ควรคือการทวนกระแส มีตนตั้งมั่น ข้ามฝั่งยืนอยู่บนบก ก่อนตาย ครับ
ข้อความยกมา :
กรรมนี่วิจิตรเสียจนกระทั่งอย่าได้ไปคิดไปฝันอะไรเลย คิดทั้งหมดน่ะ เพียงคิดเท่านั้น เวลาที่เกิดขึ้นจริงๆ อาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดไว้ก็ได้
อนุโมทนาค่ะ
ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่ที่ทุกคนกลัวนั้นเป็นสิ่งที่นึกคิดไปต่างๆ นาๆ และกลัวที่จะเจ็บปวด ซึ่งความเจ็บนั้นจะเกิดเฉพาะที่กาย แต่ละที่ๆ ให้ความเจ็บเกิดเฉพาะตรงที่เจ็บ แยกออกจากตรงส่วนที่ไม่เจ็บ ความเจ็บปวดก็จะมีไม่มาก ดิฉันมีประสบการณ์มาแล้วจึงไม่กลัวที่จะเจ็บปวด และไม่กลัวที่จะตาย ขอให้คุณ วันชัย หายจากโรคภัยไข้เจ็บ และมีสุขภาพที่ดี และแข็งแรง ค่ะ
เราเกิดแล้วตายมากี่พันกี่หมื่นชาติแล้ว แม้จะเจริญกุศลจิตมากมาย แต่แล้วก่อนตายก็ยังยึดติด-ยินดีในภพนั้นๆ ที่เราไปเกิด จึงเกิดความกลัวตาย ไม่อยากตาย เพราะยังคิดว่ายังเจริญกุศลจิตไม่เพียงพอ จึงต้องเกิดอีกเพื่อเจริญกุศลต่อไปอีก
แม้ชาตินี้ คาดหวังไว้ว่า ก่อนตายจะยังพอมีสติหลงเหลือไว้ให้ระลึกให้ได้ว่า ต้องไม่เอาอะไรไปจากภพนี้เลย หมดสิ้นสังขารขันธ์ หมดเรื่องราว หมดความจำ หมดสิ้นทุกสรรพสิ่งไม่มีอะไรเหลือทิ้งไว้ เอาไปได้แต่จิตวิญญาณที่ทำหน้าที่ตามรู้สภาวธรรมเฉยๆ แค่นั้นเอง เอาไปใช้ตามรู้สภาวธรรมต่อไปในภพหน้า
หากก่อนตายมีความกลัวตาย ก็ให้มีสติระลึกรู้ลงไปในขณะนั้นให้ได้ ว่ากำลังมีความกลัวตายอยู่ เพราะอย่างน้อย การตายด้วยสติ ที่เป็นกุศลจิต ก็จะส่งผลดีต่อไปในภพหน้าแน่นอน
อนุโมทนาครับ
หนูว่าการมีชีวิตอยู่น่ากลัวกว่าการตายซะอีกค่ะ การมีชีวิตอยู่มันช่างควบคุมยากเสียเหลือเกิน กระทั่งการควบคุมตนเอง
กราบอนุโมทนาค่ะ