วิญญาณเกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย..
[เล่มที่ 77] พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ [เล่มที่ 78] - หน้าที่ 485
หากมีคำถามว่า วิญญาณไหน มีเพราะสังขารไหนเป็นปัจจัย
ตอบว่า กุศลวิบากจิต ๑๖ ดวง คือ จักขุวิญญาณเป็นต้นที่เป็นกุศลวิบาก ๕ ดวง มโนธาตุ ที่เป็นกุศลวิบาก ๑ ดวง มโนวิญญาณธาตุ (กุศลวิบาก) ๒ ดวง กามาวจรมหาวิบาก ๘ ดวง มีเพราะปุญญาภิสังขารที่เป็นกามาพจรเป็นปัจจัย
รูปาวจรวิบาก ๕ ดวง เกิดเพราะปุญญาภิสังขารที่เป็นรูปาวจรเป็นปัจจัย
วิญญาณมี ๒๑ ดวง มีเพราะปุญญาภิสังขารเป็นปัจจัยด้วยประการฉะนี้.
อนึ่ง วิญญาณ ๗ ดวง คือ จักขุวิญญาณเป็นต้นที่เป็นอกุศลวิบาก ๕ ดวง มโนธาตุ (สัมปฏิจฉันนจิต) ๑ ดวง มโนวิญญาณธาตุ ๑ ดวง มีเพราะอปุญญาภิสังขารเป็นปัจจัย ... วิญญาณ ๔ ดวงอย่างนี้ คือ อรูปวิบาก ๔ ดวง มีเพราะอาเนญชาภิสังขารเป็นปัจจัย
... ปุญญาภิสังขารจำแนกด้วยเจตนา ๘ ดวง นี้กามาพจรได้ปัจจัย ๒ อย่าง คือ ด้วยกรรมปัจจัยที่เกิดต่างขณะกัน และด้วยอุปนิสสยปัจจัยในปฏิสนธิ แก่วิปากวิญญาณ ๙ ดวง
... อปุญญาภิสังขาร จำแนกโดยอกุศลเจตนา ๑๒ ดวง เป็นปัจจัยใน ปฏิสนธิกาล ไม่เป็นปัจจัยในปวัตติกาล แก่วิญญาณ ๑ ดวง ในกามภพ ทุคติภูมิเหมือนกันนั่นแหละ เป็นปัจจัยในปวัตติ ไม่เป็นปัจจัยในปฏิสนธิกาล แก่วิญญาณ ๖ ดวง เป็นปัจจัยทั้งในปวัตติกาล และ ปฏิสนธิกาลเหมือนอย่างนั้นแหละ แก่อกุศลวิปากวิญญาณ ๗ ดวง แต่ในกามภพสุคติภูมิ เป็นปัจจัยในปวัตติกาล ไม่เป็นปัจจัยในปฏิสนธิกาลแก่อกุศลวิปากวิญญาณ ๗ ดวงเหล่านั้น เหมือนกันนั่นแหละ ...
... ก็อาเนญชาภิสังขารเป็นปัจจัยเหมือนกันนั่นแหละ แก่วิปากวิญญาณ ๔ ดวง ทั้งในปวัตติกาล ทั้งในปฏิสนธิกาล ในอรูปภพ
... อนึ่ง ว่าโดยกุศลและอกุศลในกามาพจร กายสังขาร จำแนกโดยเจตนาทั้ง ๒๐ ดวง โดยสัพพังคาหิกนัย เป็นปัจจัย ๒ อย่าง คือ ด้วยกรรมปัจจัย ที่เกิดต่างขณะกัน และด้วยอุปนิสสยปัจจัย ในปฏิสนธิกาล แก่วิปากวิญญาณ ๑๐ ดวง ในกามภพ กายสังขารนั้นนั่นแหละ เป็นปัจจัยอย่างนั้นเหมือนกันในปวัตติกาล มิใช่ในปฏิสนธิกาล แก่วิปากวิญญาณ ๑๓ ดวง ในกามภพ แก่วิปากวิญญาณ ๙ ดวง ในรูปภพ. กายสังขารนั้นนั่นแหละ เป็นปัจจัยเหมือนอย่างนั้น ทั้งในปวัตติกาล ทั้งในปฏิสนธิกาล แก่วิปากวิญญาณ ๒๓ ดวง ในกามภพ. แม้ในวจีสังขาร ก็นัยนี้เหมือนกัน
... อีกอย่างหนึ่ง ปุญญาภิสังขาร เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลายในพวกอสัญญีสัตว์ ด้วยกรรมปัจจัยที่เกิดต่างขณะกัน ด้วยประการฉะนี้แล ...
เรียน ท่านเจ้าของกระทู้ ขอถามว่า
๑. คนในยุคหลังกึ่งพุทธกาลนี้ เมื่อศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้แล้ว ไม่สามารถเข้าสู่โลกุตตรภูมิได้ สังขารวิญญาณจะไปอยู่ไหนหรือว่าไม่มีใครบอกได้ แล้วแต่ว่าศึกษาไถกทางมากน้อยเพียงใด
๒. เคยได้ยินว่าเมื่อหลังพระพุทธองค์ปรินิพพานไปจนถึง ก่อนวันครบรอบปรินิพพาน ๕๐๐๐ ปีไม่นาน พระพุทธองค์จะทรงรวบรวม พระอัฐฐิตุนลฯ เพื่อมาทรงแสดงพระอภิธรรมแก่ เทพพรหม เทวา ในสวรรค์ ข้อนี้มีความเป็นมาอย่างไร
๓. ถ้า ข้อ ๒. มีจริงในพระไตรปิฎก คน อย่างเราๆ ที่มาฟังธรรม ในปัจจุบันนี้ จะได้ไปฟังธรรมครั้งนี้ไหมคะ และถ้าได้ไป ต้องสร้างเหตุปัจจัยอย่างไร บ้าง
๔. เคยทราบว่า อีกไม่นาน โลกจะขาดพระพุทธศาสนาและต้องรอคอยจนกว่าพระศรีอาริยเมตตรัยมาตรัสรู้ ก่อนที่พระศรีอาริยเมตตรัยมาตรัสรู้นั้น คนในโลกนี้จะเดือดร้อนสาหัส และคนดีๆ จะต้องแอบในถ้ำเพื่อภาวนา ดังนั้นพวกเราต้องรีบสร้างกุสลเพื่อไปใพ้นจากกลียุคนี้ เราจะทำได้อย่างไร
ขออนุโมทนา
เรียนความเห็นที่ 2
๑. ผู้ที่ศึกษาและประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน เมื่อยังไม่บรรลุเป็น พระอริยบุคคลการกระทำดังกล่าวก็สะสมเป็นอุปนิสัยปัจจัยต่อไปในอนาคต
๒. มีปรากฏในอรรถกถาว่า ในอนาคต เมื่อหมดผู้มีศรัทธาศึกษาฯ พระธาตุก็ จะมารวมกันแสดง ... จากนั้นก็มีไฟลุกไหม้ พระศาสนาก็ชื่อว่าหมดไปจากโลกนี้ ...
๓. ในอนาคตไม่สำคัญเท่าขณะนี้ครับ ว่ากำลังทำอะไรอยู่
๔. ไม่ประมาทในการเจริญกุศลธรรมทุกประการครับ