ว่าด้วยธรรม ๑๐ ประการที่เป็นเหตุให้ไม่วิวาทกัน [ภัณฑนสูตร]

 
Khaeota
วันที่  18 มิ.ย. 2553
หมายเลข  16525
อ่าน  1,296

ระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้าที่ 163

ว่าด้วยธรรม ๑๐ ประการที่เป็นเหตุให้ไม่วิวาทกัน

๑๐. ภัณฑนสูตร

[๕๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชต-

วัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล

ภิกษุมากด้วยกันกลับจากบิณฑบาต ในเวลาภายหลังภัต นั่งประชุมกันที่หอ

ฉัน เกิดหมายมั่นก่อความทะเลาะวิวาทกันขึ้น ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอก

คือปาก ครั้นเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่เร้น เสด็จเข้า

ไปยังหอฉัน แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้นแล้วได้ตรัสถาม

ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลายนั่งประชุมสนทนา

กันด้วยเรื่องอะไรหนอ และเรื่องอะไรอันเธอทั้งหลายพักค้างไว้ในระหว่าง

ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส

ข้าพระองค์ทั้งหลายกลับจากบิณฑบาตในเวลาภายหลังภัต นั่งประชุมกัน

ที่หอฉัน เกิดหมายมั่นก่อความทะเลาะวิวาทกันขึ้น ทิ่มแทงกันและกัน

ด้วยหอกคือปากอยู่.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่เธอทั้งหลาย

เกิดความหมายมั่นก่อความทะเลาะวิวาทกันขึ้น ทิ่มแทงกันและกันด้วย

หอกคือปากอยู่ นี้เป็นกรรมไม่สมควรแก่เธอทั้งหลาย ผู้เป็นกุลบุตร

ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๑๐ ประ-

การนี้ เป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกัน ทำให้เป็นที่รัก ที่เคารพกัน ย่อม

เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กันและกัน ไม่วิวาทกัน สามัคคีเป็นอันหนึ่งอัน

เดียวกัน ธรรม ๑๐ ประการเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรม

วินัยนี้ เป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วในปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระ

และโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษมีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ใน

สิกขาบททั้งหลาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ภิกษุเป็นผู้มีศีล ฯลฯ แม้นี้

เป็นธรรมที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกัน ทำให้เป็นที่รัก ที่เคารพกัน เป็นไปเพื่อความสงเคราะห็กันและกัน ไม่วิวาทกัน สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อีกประการหนึ่ง ภิกษุ เป็นพหูสูต ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้

ได้สดับมามาก ทรงไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ ซึ่ง

ธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประ-

กาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ดู

ก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ภิกษุเป็นพหูสูต ฯ ล ฯ นี้เป็นธรรมที่ตั้งแห่ง

ความระลึกถึงกัน ทำให้เป็นที่รัก ที่เคารพกัน ย่อมเป็นไปเพื่อความ

สงเคราะห์กันและกัน ไม่วิวาทกัน สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน. อีกประการหนึ่ง ภิกษุ เป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี ดูก่อน

ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ภิกษุเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดีนี้ เป็นธรรม

ที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกันและกัน ทำให้เป็นที่รัก ที่เคารพกัน ย่อมเป็น

ไปเพื่อละความสงเคราะห์กันและกัน ไม่วิวาทกัน สามัคคีเป็นอันหนึ่งอัน

เดียวกัน. อีกประการหนึ่ง ภิกษุ เป็นผู้ว่าง่าย ประกอบด้วยธรรมเครื่องทำ

ให้เป็นผู้ว่าง่าย เป็นผู้อดทน มีปกติรับคำพร่ำสอนโดยเคารพ ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ว่าง่าย ฯลฯ นี้ เป็นธรรมที่ตั้งแห่งความระลึก

ถึงกันและกัน ทำให้เป็นที่รักที่เคารพกัน ย่อมเป็นไปเพื่อความสงเคราะห์

กันและกัน ไม่วิวาทกัน สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน. อีกประการหนึ่ง ภิกษุ เป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้าน ในกรณียกิจทั้ง

สูงทั้งต่ำของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่อง

พิจารณาอันเป็นอุบายในกรณียกิจนั้น เป็นผู้สามารถเพื่อทำ เพื่อจัดได้

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ขยันไม่เกียจคร้านในกรณียกิจทั้งสูง

ทั้งต่ำของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ฯลฯ นี้ เป็นธรรมที่ตั้งแห่งความ

ระลึกถึงกันและกัน ทำให้เป็นที่รัก ที่เคารพกัน ย่อมเป็นไปเพื่อความ

สงเคราะห์กันและกัน ไม่วิวาทกัน สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.

อีกประการหนึ่ง ภิกษุ มีความใคร่ในธรรม เป็นผู้ฟังและแสดง

ธรรมอันเป็นที่รัก มีความปราโมทย์อย่างยิ่งในอภิธรรม ในอภิวินัย ดู

ก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ภิกษุเป็นผู้มีความใคร่ในธรรม ฯลฯ นี้ เป็น

ธรรมที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกันและกัน ทำให้เป็นที่รักที่เคารพกัน เป็นไป

เพื่อความสงเคราะห์กันและกันไม่วิวาทกัน สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน. อีกประการหนึ่ง ภิกษุ เป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรมทั้งหลาย เพื่อความถึงพร้อมแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลายข้อที่ภิกษุเป็นผู้ปรารภความเพียร ฯลฯ นี้ เป็นธรรมที่ตั้งแห่งความระลึกถึง

กันและกัน ทำให้เป็นที่รัก ที่เคารพกัน ย่อมเป็นไปเพื่อความสงเคราะห์

กันและกัน ไม่วิวาทกัน สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน. อีกประการหนึ่ง ภิกษุ เป็นผู้สันโดษ ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ

เภสัชบริขารอันเป็นปัจจัยแก่คนไข้ ตามมีตามได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

ข้อที่ภิกษุเป็นผู้สันโดษด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัชบริขารอัน

เป็นปัจจัยของคนไข้ตามมีตามได้นี้ เป็นธรรมที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกันและกัน ทำให้เป็นที่รัก ที่เคารพกัน ย่อมเป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กันและกัน ไม่วิวาทกัน สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน. อีกประการหนึ่ง ภิกษุ เป็นผู้มีสติ คือ ประกอบด้วยสติเป็นเครื่อง

รักษาตนอย่างยิ่ง ระลึกนึกถึงกิจที่ทำและคำที่พูดแม้นานได้ ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย ข้อที่ภิกษุเป็นผู้มีสติ ฯลฯ นี้ เป็นธรรมที่ตั้งแห่งความระลึกถึง

กันและกัน ทำให้เป็นที่รัก ที่เคารพกัน ย่อมเป็นไปเพื่อความสงเคราะห์

กันและกัน ไม่วิวาทกัน สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน. อีกประการหนึ่ง ภิกษุ เป็นผู้มีปัญญา คือ ประกอบด้วยปัญญา

เครื่องพิจารณาเห็นความเกิด ดับ เป็นอริยะ ชำแรกกิเลส ให้ถึงความ

สิ้นทุกข์โดยชอบ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ภิกษุเป็นผู้มีปัญญา ฯลฯ นี้

เป็นธรรมที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกันและกัน ทำให้เป็นที่รัก ที่เคารพกัน

ย่อมเป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กันและกัน ไม่วิวาทกัน สามัคคีเป็นอัน

หนึ่งอันเดียวกัน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๑๐ ประการนี้แล เป็นที่ตั้งแห่งความ

ระลึกถึงกันและกัน ทำให้เป็นที่รักที่เคารพกัน ย่อมเป็นไปเพื่อความ

สงเคราะห์กันและกัน ไม่วิวาทกัน สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.

จบภัณฑนสูตรที่ ๑๐

จบอักโกสวรรคที่ ๕


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ